ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว




รายงาน
เรื่อง  ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว

จัดทำโดย
                    1.    นายเอกมงคล            จันทกุมาร         เลขที่ 8
                    2.    นางสาวอลิตา            อ่อนแสง           เลขที่ 9
                    3.    นางสาวอาทิตยา         ขาวเมืองน้อย     เลขที่ 11
                    4.    นางสาวเจนจิรา          จิตรีรมณ์           เลขที่ 18
                    5.    นางสาววีรยา             วชิรมน             เลขที่ 19
                    6.    นายกำพล                จิตรพรทรัพย์      เลขที่ 22
                    7.    นายทองเทพ             ยืนยง               เลขที่ 25
ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1/4

เสนอ
อาจารย์ ปรารถนา   อังคประสาทชัย
       รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียน วิชาจิตวิทยาทั่วไป รหัสวิชา 0020003
ภาคเรียนที่ 2   ปีการศึกษา 2559
คณะ บริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ
สาขา เทคโนโลยีโลจิสติกส์และการจัดการระบบขนส่ง
มหาวิยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักพงษภูวนารถ




คำนำ

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา จิตวิทยาทั่วไป จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาดูทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาควบคู่กับการเรียนในรายวิชา จิตวิทยาทั่วไป ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลของทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว       
ผู้จัดทำได้จัดทำเกี่ยวกับทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ สามารถทำความเข้าใจ และระบุคุณสมบัติ ขั้นพื้นฐานที่ทำให้เกิดพฤติกรรมมนุษย์และนับรวมไปถึงองค์ประกอบของพฤติกรรม ที่แสดงให้เห็น ถึงความอดทน พื้นฐานจิตใจ และรวมถึงพฤติกรรมในสภาวะเหตุการณ์ต่างๆ
       ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มาศึกษา และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นได้ หากรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

                                                                                                 คณะผู้จัดทำ
                                                                                                  2 เม.ย. 60











สารบัญ

 




ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว

ทฤษฏีคุณลักษณะเฉพาะตัว กล่าวว่า บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจ และระบุคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่ทำให้เกิดพฤติกรรมมนุษย์ และนับรวมไปถึงองค์ประกอบของพฤติกรรม ที่แสดงให้เห็นถึงความอดทน พื้นฐานจิตใจ และรวมถึงพฤติกรรมในสภาวะเหตุการณ์ต่างๆ

กอร์ดอน  แอลพอร์ท ( Gordon Allport )

อธิบายว่า คุณลักษณะเป็นรากฐานของระบบประสาทของบุคคล เป็นโครงสร้างของระบบจิตประสาท ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมบังคับหรือเป็น แกนนำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมช่วยสร้างความเชื่อมั่น และทำให้บุคคลอื่นเกิดความรู้สึกยินดีและทำให้ครอบครัวอบอุ่น ถ้าบุคคลใดที่ขาดคุณลักษณะเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าสังคมจะมีพฤติกรรมที่ผิดหลัง มีความรู้สึกแตกต่างกันอย่างมากในสภาวะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

แคทเทลล์ ( Raymond B. Cattell )

อธิบายว่า แต่ละบุคคลจะสามารถอธิบายได้ตามคุณลักษณะของบุคคล เช่น มีความเป็นมิตร ติดต่อสัมพันธ์กัน ชอบเข้าสังคม แจกแจงจากลักษณะนิสัยซ่อนเร้น ( Source traits ) ซึ่งพฤติกรรมต้นจะมีอยู่ 16 แบบ และมีลักษณะค้านกันเป็นคู่ เช่น พึ่งตนเองตรงข้ามกับพึ่งพวกพ้อง หรือใฝ่อิทธิพลกับคล้อยตาม เรียกลักษณะเหล่านี้ว่า นิสัยทั้ง 16 ของบุคลิกภาพ


ทฤษฎีอุปนิสัยของแอลพอร์ท ( Allport’s Trait Theory )

ประวัติอัลล์พอร์ต ( Allport )

กอร์ดอน แอลพอร์ท ( Gordon Allport : 1897 – 1967 อ้างใน Barkhuus, 1999) เกิดที่เมือง มอนเต็สซูมา ( Montezuma ) มลรัฐอินดีแอนา ( Indiana ) สหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุตรของหมอชนบทและเป็นลูกชายคนสุดท้อง ในจำนวนลูกชายทั้งหมด 4 คน หลังจากจบปริญญาตรีทางปรัชญาและเศรษฐศาสตร์ ค.ศ. 1919     แอลพอร์ท ( Allprt ) ได้ไปสอนภาษาอังกฤษและสังคมวิทยาที่ประเทศตุรกี เขาเรียนต่อปริญญาโทและเอกทางสาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์ด เขาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการสำรวจลักษณะนิสัยของบุคลิกภาพ ( Personality Traits ) และได้รับปริญญาเอกใน   ค.ศ. 1922 เมื่ออายุเพียง 24 ปี แอลพอร์ทได้เขียนผลงานทฤษฎีทางวิชาการและบทความวิจัยมากมายจนได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งทฤษฎีบุคลิกภาพ ( Father of Personality Theory )
ในการอธิบายเกี่ยวกับบุคลิกภาพนั้น แอลพอร์ท กล่าวว่า  ภายในตัวบุคคลจะมีการจัดระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ระบบภายในดังกล่าวมี 5 ระดับ คือ

ระบบภายในตัวบุคคล

ระดับที่ 1 ได้แก่ การกระทำง่ายๆ ที่เกิดจากการมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้า (Response)
ระดับที่ 2 ได้แก่ นิสัย ( Habit ) หรือการกระทำซ้ำที่เกิดจากการเรียนรู้
ระดับที่ 3 ได้แก่ ลักษณะนิสัย (Traits ) เกิดจากการผสมผสารของนิสัยเฉพาะต่างๆ
ระดับที่ 4  ได้แก่ ตัวตน ( Selves ) เกิดจากการผสมผสารของลักษณะนิสัยต่างๆ แอลพอร์ท เชื่อว่า แต่ละคนจะมีตัวตนได้มากกว่าหนึ่ง เช่น เมื่ออยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนเด็กจะมีตัวตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่ออยู่กับแม่ที่บ้านจะมีตัวตนอีกแบบหนึ่ง
ระดับที่ 5 ได้แก่ บุคลิกภาพ ( Personality ) เกิดจากการผสมผสานของตัวตนหรือเป็นระบบรวมทั้งหมดภายในตัวบุคคลนั้นเอง
แอลพอร์ท เน้นว่า ไม่มีอะไรที่จะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพของบุคคลได้ดีเท่ากับลักษณะนิสัย เพราะลักษณะนิสัยจะเป็นสิ่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคลและเป็นแนวทางสำหรับการแสดงพฤติกรรม แอลพอร์ทได้แบ่งลักษณะนิสัยออกเป็น 2 ชนิด คือ
(1) ลักษณะนิสัยสามัญ ( Common Traits ) ได้แก่ ลักษณะนิสัยที่ปรากฏให้เห็นร่วมกันในบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในสังคมวัฒนธรรมเดียวกัน ซึ่งมีค่านิยมทางสังคม ศาสนา และการเมืองคล้ายกัน เช่น ลักษณะนิสัยสามัญของคนไทย ได้แก่ ความแกรงใจ และความมีน้ำใจ ฯลฯ
(2) ลักษณะเฉพาะบุคคล ( Personal Traits ) ได้แก่ ลักษณะนิสัยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ทำให้แต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันออกไป ลักษณะเฉพาะนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
ก. ลักษณะนิสัยสำคัญ ( Cardinal Traits ) เป็นลักษณะนิสัยที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดเป็นลักษณะนิสัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมของบุคคลในเกือบทุกๆ ด้านเพราะเป็นลักษณะนิสัยที่กำหนดอารมณ์ ความรู้สึก และวิธีการดำเนินชีวิต
ข. ลักษณะนิสัยร่วม ( Central Traits ) เป็นลักษณะนิสัยที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจนสังเกตง่าย เป็นลักษณะร่วมที่หลายคนมีเหมือนกัน แต่ละคนอาจมีลักษณะร่วมนี้ปรากฏให้เห็นประมาณ 4 – 10 ลักษณะ
ค. ลักษณะนิสัยทุติยภูมิ ( Secondary Traits )  เป็นลักษณะนิสัยที่ปรากฏอยู่ภายนอกทั่วๆ ไป ซึ่งมีอยู่มากมายภายในตัวบุคคล ส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะนิสัยเชิงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อการตอบโต้สถานการณ์ต่างๆ เช่น ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

บุคลิกภาพที่มีวุฒิภาวะ

          แอลพอร์ทได้อธิบายถึงบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่มีวุฒิภาวะว่า คือ บุคคลที่มีอิสรภาพจากแรงจูงใจเก่าๆ แอลพอร์ทได้สรุปคุณลักษณะของผู้คนที่มีวุฒิภาวะแห่งบุคลิกภาพไว้ 6 ประการ คือ
1.      เป็นบุคคลที่สามารถขยายความสนใจที่นอกเหนือจากตัวตน (Extension of the Sense of Self)มีจิตสาธารณะ สามารถสร้างสรรค์และแบ่งปันความคิดและพลังเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อบุคคลอื่นและสังคม
2.      สามารถสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่น (Warm Relatedness to Others) มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่วิจารณ์ ถากถางหรือล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น สามารถปรับตัวกับบุคคลอื่นได้ในทุกสถานการณ์
3.      ยอมรับตนเอง (Self – acceptance) มีความมั่นคงทางอารมณ์และรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง มีความอดทนอดกลั่นต่อความคับแค้นใจสูง สามารถควบคุมตนเองได้
4.      รับรู้ความจริงอย่างถูกต้อง (Realistic Perception of Reality) ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง มุ่งแก้ ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการแก้ปัญหาโดยยึดอารมณ์ความรู้สึกหรือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก
5.      ทำตนเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงง่าย (Self – objectification) ยอมรับความเด่นและความด้อยส่วนตน เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ทำตนเป็นผู้ลึกลับหรือทำตนอวดรู้เหนือคนอื่น
6.      มีเอกภาพแห่งปรัชญาชีวิต (Unifying Philosophy of Life) ความเข้าใจจุดมุ่งหมายของชีวิตอย่างชัดเจน มีอุดมการณ์ มีความมุ่งมั่นบอกบั่นในการต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อการบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต

ทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบลักษณะนิสัย (factor Analytic Trait Theory )

ประวัติ เรย์มอนด์ บี แคทเทลล์  ( Raymond B. Cattell )   

เรย์มอนด์ บี แคทเทลล์  (Raymond B. Cattell : 1905 -1998 อ้างใน Wikipedir,2010) เกิดใน เมือง สตาฟฟอร์ดเชียร์ (stanffordshire) ประเทศอังกฤษ เกิดเมื่อ ค.ศ 1905              สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาเคมี จากวิทยาลัย คิงส์   (King College) ประเทศอังกฤษ จากนั้นได้ศึกษาต่อด้านจิตวิทยา ขณะที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ช่วยงานวิจัยของนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง  คือ ชาร์ล สเปียนร์แมน  (Charies Spearman) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบ ของ สติปัญญา เขาได้นำประสบการณ์นี้ไปศึกษาเรื่ององค์ประกอบของบุคลิกภาพ จนในที่สุดเขาได้สร้างทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบลักษณะนิสัย (factor Analytic Trait Theory)      แคทเทลล์ (Cattel) อธิบายว่าบุคลิกภาพเป็นเรื่องของพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล ซึ่งแคทเทลล์ เรียกว่า ลักษณะนิสัย (Traits) โดยลักษณะนิสัยที่ประกอบขึ้นเป็นบุคลิกภาพนั้นประกอบด้วยลักษณะนิสัยทีซ่อนอยู่ภายใน (Source Traits)และลักษณะนิสัยส่วนผิว (Surface Traits)  เป็นพฤติกรรมที่ปรากฏออกมาให้เห็นภายนอกหรือแสดงออกมาอย่างผิวเผินนั้นเอง

โครงสร้างบุคลิกภาพของแคทเทล

ทฤษฎีบุคลิกภาพของแคทเทล มีโครงสร้างบุคลิกภาพประกอบด้วย อุปนิสัย ( Traits ) หน่วยพลัง ( Ergs )      เมตะเอิร์ก ( Metaergs ) สังกัปอุดหนุน ( Subsidiation ) และตัวตน ( The Self  ) ซึ่งมีรายโดยละเอียดดังนี้   
1. อุปนิสัย ( Traits ) 
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่แคทเทลถือว่า อุปนิสัย คือ “โครงสร้างของจิต” ( Mental Structure ) เป็นตัวกระทำให้พฤติกรรมของบุคคลคงที่ และแคทเทลมีแนวความคิดเหมือนอัลล์พอร์ต ( Allport ) ว่า บุคคลแต่ละคนมีอุปนิสัยร่วมหรือสามัญลักษณะ ( Common Traits ) ด้วยกันทั้งนั้น เช่น การมีประสบการณ์ทางสังคมอย่างเดียวกัน ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์หรือวิสามัญลักษณะ ( Unique Traits ) หมายถึง อุปนิสัยที่มีอยู่เฉพาะในบุคคลแต่ละคน ซึ่งคล้ายคลึง อุปนิสัยร่วม   เป็นคุณลักษณะต่างๆ ที่มีอยู่ในบุคคลทั่วไป เช่น ความสามารถ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม สติปัญญาและความเชื่อมั่นในตนเอง ส่วนอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์จะเป็นลักษณะที่ปรากฏขึ้นในส่วนของเจตคติและความสนใจเฉพาะของแต่ละบุคคล
อุปนิสัยมี 2 ชนิด คือ
1.1 อุปนิสัยพื้นผิว ( Surface Traits ) เป็นอุปนิสัยที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน เป็นลักษณะนิสัยของบุคคลที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยอุปนิสัยต้นตอเป็นโครงสร้างที่แท้จริงซึ่งถือเป็นรากฐานของบุคลิกภาพและเป็นตัวที่กำหนดการแสดงออกของอุปนิสัยพื้นผิวหลายๆ แบบ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องศึกษาเมื่อพบปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการบุคลิกภาพ  อาการเจ็บปวดทางกายหรือโรคทางกายที่มีสาเหตุเนื่องมาจากจิตใจและความเปลี่ยนแปลงในบูรณาการของบุคลิกภาพ   ( Dynamic Intergration ) นอกจากนี้อุปนิสัยต้นตอยังเป็นผลของพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมผสมกัน ซึ่งอาจเรียกอุปนิสัยต้นตอว่าเป็นอุปนิสัยแม่บท ( Constitutution Traits )
1.2 อุปนิสัยต้นตอ ( Source Traits ) แบ่งออกเป็น 3 แบบตามการแสดงออกคือ
(1) อุปนิสัยแรงขับ ( Dynamic Traits ) ได้แก่ อุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ และความสนใจของ   บุคคลเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมาย
(2) อุปนิสัยเกี่ยวกับความสามารถ ( Ability Traits ) ได้แก่ อุปนิสัยที่เป็นตัวกำหนดความสามารถของบุคคลให้ทำงานไปสู่จุดมุ่งหมาย
          (3) อุปนิสัยทางลักษณะอารมณ์ ( Temperament Traits ) ได้แก่ อุปนิสัย  ที่เป็นตัวกำหนดความสามารถของบุคคลให้ทำงานไปสู่จุดมุ่งหมาย อุปนิสัยทางอารมณ์ ( Temperament Traits ) ได้แก่ อุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทาง ด้านโครงสร้างเป็นความเร็วของพลัง เป็นต้น
          ในการแสดงออกของพฤติกรรมใดๆ ก็ตาม อาจเกิดจากอุปนิสัยทั้ง 3 แบบร่วมกัน แต่ทั้งนี้อุปนิสัย    แรงขับจะมีความสำคัญมากกว่าอุปนิสัยเกี่ยวกับความสามารถ และอุปนิสัยทางอารมณ์ เพราะอุปนิสัยแรงขับสามารถยืดหยุ่นและอาจเป็นตัวเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนใหญ่ได้
2. หน่วยพลัง ( Ergs )
เป็นอุปนิสัยต้นตอหรือแรงขับดันที่มีมาแต่กำเนิดทั้งในกายและในจิตใจ ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทั้งโดยจงใจหรือเอาใจใส่ต่อวัตถุใดวัตถุหนึ่งมากกว่าวัตถุประเภทอื่น และแสดงประสบการณ์เฉพาะของอารมณ์ต่อวัตถุประเภทนั้น ๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของกิจกรรมนั้น ๆ ของตนมากกว่ากิจกรรมประเภทอื่นๆ แคทเทลล์ ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า หน่วยพลัง มีหน้าที่ 4 อย่าง คือ การตอบสนองการรับรู้              ( Perceptual Response ) การตอบสนองทางอารมณ์ (Emotional Response) การกระทำที่นำไปสู่จุดมุ่งหมาย        ( Instrumental Acts Leading to the Goal ) และจุดมุ่งหมายที่ทำให้ได้รับความพอใจ ( The Goal Satisfaction Itself ) ถ้ารวมหน่วยพลัง 4 หมวดเข้าด้วยกัน คำนิยามจะประกอบไปด้วย การคิด ( Cognition ) ความรู้สึก(Affection ) และความมุ่งมั่น (Conation) ซึ่งเหมือนกับคำว่าสัญชาตญาณ ( Instinct ) ตามทฤษฎีของแมคดูกัล ( McDougall’s Theory ) และแคทเทลล์ ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของหน่วยพลังกับกระบวนการทางชีววิทยาของมนุษย์พร้อมทั้งเสนอว่า หน่วยพลังที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิดมี 10 หน่วยพลัง คือ พลังเพศ ( Sex ) การยืนยันสิทธิของตน      ( Self Assertion ) การหนี ความกลัว ความวิตกกังวล (  Escape, Fear, Anxiety ) การป้องกัน พฤติกรรมการปกป้องของพ่อแม่ ( Protection Parental Behavior ) การเข้าร่วมกลุ่ม ( Gregariousness ) ความต้องการผักผ่อน              ( Rest – Seeking ) การสำรวจ (Exploration) การหลงรักตนเอง ( Narcistic Sex ) การขอร้อง ( Appeal )            การก่อสร้าง ( Construction )

3. เมตะเอิร์ก (Metaergs)

เป็นอุปนิสัยต้นตอที่เกี่ยวกับแรงขับ ซึ่งได้รับการขัดเกลาจากสิ่งแวดล้อมและปรากฏในพัฒนาการ เมตะเอิร์กต่างจากหน่วยพลังคือหน่วยพลังมีมาแต่กำเนิดแต่เมตะเอิร์กเกิดขึ้นภายหลังและพัฒนามาจากแรงจูงใจ ได้แก่ เจตคติ(Attitude)  ความสนใจ ( Interest ) และ ความอ่อนไหวทางอารมณ์ ( Sentiment )  ความอ่อนไหวทางอารมณ์มีความสำคัญที่สุด ในเมตะเอิร์ก ความอ่อนไหวทางอารมณ์ก็คือ  โครงสร้างของอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับซึ่งเกิดจากสิ่งแวดล้อม ทำให้บุคคลมีความเอาใจใส่ต่อวัตถุบางอย่าง ตลอดจนรู้สึกและสามารถตอบสนองได้ในสถานการณ์เฉพาะความอ่อนไหวทางอารมณ์จะมีความมั่นคงและถาวรกว่าเจตคติและความสนใจ เพราะความอ่อนไหวทางอารมณ์ปรากฏอยู่ในช่วงพัฒนาการตอนต้นมากกว่าวัยอื่นๆ เจตคติ ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณ์จะไม่แยกออกจากกัน  และมีการทำงานเกื้อกูลกันสำหรับความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่สำคัญ ได้แก่ ความสนใจในอาชีพ ความสนใจในกีฬาและเกมต่าง ๆ ความสนใจ เพราะความอ่อนไหวทางอารมณ์ปรากฏอยู่ในช่วงพัฒนาการตอนต้นมากกว่าวัยอื่นๆ เจตคติ  ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณ์จะไม่แยกออกจากกันและมีการทำงานเกื้อกูลกัน สำหรับความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่สำคัญ ได้แก่ ความสนใจในอาชีพ ความสนใจในกีฬาและเกมต่างๆ ความสนใจในเรื่องศาสนา ความสนใจทางด้านเครื่องจักรกล ความรักชาติ โครงสร้างของหน่วยพลังย่อยและอารมณ์ความรู้สึกต่อตนเอง
4. สังกัปอุดหนุน ( Subsidiation )
ถ้าเราศึกษาอุปนิสัยที่สัมพันธ์กับจำนวนหนึ่ง เราจะพบว่ามีเป้าหมายสุดท้ายซึ่งบุคคลสามารถจะไปได้โดยการผ่านเป้าหมายย่อยๆ ไปเป็นลำดับ หรืออาจเรียกว่าเป้าหมายย่อยเหล่านั้นเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้าย อุปนิสัยที่ทำให้บุคคลบรรลุเป้าหมายแรก ได้แก่ อุปนิสัยทั้งหลายที่จะมาอุดหนุนอุปนิสัยที่ทำให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายหรือใกล้เคียงกับเป้าหมายสุดท้าย การแบ่งระหว่างหน่วยพลัง ความอ่อนไหวทางอารมณ์ เจตคติ และความสนใจนั้นถ้า จะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือลูกโซ่ของการอุดหนุน ( Subsidiation Chain )ทั้งหมดเป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับ โดยความสนใจเป็นสิ่งที่อุดหนุนเจตคติ ( Subsidiary to Attitude ) รวมทั้งเป็นสิ่งอุดหนุนความอ่อนไหวทางอารมณ์ ซึ่งก็เป็นสิ่ง  ที่อุดหนุนหน่วยพลัง ( Subsidiary to Eggs ) ด้วย และตามปกติแล้วปฏิกิริยาซึ่งกันและกันระหว่างอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับมีความซับซ้อนมากการตรวจสอบการกระทำใดๆ จะแสดงให้เห็นเป็นลูกโซ่ของการอุดหนุนที่เชื่อมโยงหน่วยพลังแต่ ละอย่าง และความอ่อนไหวทางอารมณ์และเจตคติไว้
5. ตัวตน ( The Self )
เป็นส่วนหนึ่งของความอ่อนไหวทางอารมณ์ ตัวตนเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเจตคติเกือบทั้งหมด จะสะท้อนให้เห็นตัวตนนั่นเอง ตัวตนจะเกี่ยวข้องกับการแสดงออกของหน่วยพลังหรือความอ่อนไหวทางอารมณ์อื่นๆ ตัวตนมีบทบาทในการบูรณาการบุคลิกภาพและตัวตนนี้ยังเกี่ยวข้องกับหน่วยพลังที่เกี่ยวกับคุณธรรม  ( Superego ) และตัวตนตามอุดมคติ ( Ideal Self ) ซึ่งทั้งสองนี้ได้มาจากอิทธิพลทางสังคม นอกจากนี้ตัวตนยังมีอิทธิพลควบคุมอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับให้ปฏิบัติงานร่วมกัน เรียกว่า ตัวตนทางโครงสร้าง ( Structural Self) หรือตัวตนที่เกิดจากแรงขับ ( Drive Self ) หรือเกิดความอ่อนไหวทางอารมณ์ของหน่วยพลัง ( Ego Sentiment ) การทำงานของอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับอันใดก็ตาม      จะแสดงตัวออกมานั้นจะต้องขึ้นอยู่กับว่าอุปนิสัยนั้นเหมาะสมกับตัวบุคคลหรือไม่ ถ้าอุปนิสัยนั้นๆ ไม่สามารถเข้ากับตัวตนได้ก็จะทำให้เกิดลักษณะอาการโรคจิต โรคประสาทในบุคคลได้

บุคลิกภาพ 16 PF

แคทเทลล์ ได้สร้างแบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 PF (The Sixteen Personnality Factory Inventory)เขาได้ใช้วิธีการทางสถิติที่เรียกว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบ(Factor Analysis) มาช่วยในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคำต่างๆประมาณ 4,000 คำ  (Dewey,2007) และสร้างเป็นมิติพื้นฐานของบุคลิกภาพ (Personality Profile) ได้ 16 กลุ่ม ลักษณะพื้นฐานของบุคลิกภาพทั้ง 16 กลุ่ม นี้  แคทเทลล์ เรียกว่า ลักษณะนิสัยที่ซ่อนอยู่ภายใน (Source Traits) ลักษณะนี้จะมีความมั่นคงในตัวมนุษย์ตลอดชีวิต เป็นองค์ประกอบโครงสร้างบุคลิกภาพทั้งหมด ลักษณะนิสัยที่ซ่อน     อยู่ภายในนี้มี 2 ขั้ว คือ ขั้วบวกและขั้วลบ ได้แก่
·      องค์ประกอบที่ 1 สำรวม (Reserved) – ชอบออกสังคม (Outgoing)
ผู้ที่มีลักษณะสำรวมมักเป็นคนเฉนเมย เย็นชา  ใจแข็ง มีนิยมการประนีประนอม ชอบปรีกตัวหรือชอบอยู่คนเดียวและชอบใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองอย่างพินิจพิเคราะห์ ส่วนผู้ที่ชอบแสดงออกสังคมมักมีความเมตตา กรุณา            มีความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองกับผู้อื่น มีน้ำใจดี ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล มีความสามารถในการปรับตัวสูง
·      องค์ประกอบที่ 2 คิดเชิงรูปธรรม (Concrete Thinking) – อารมณ์มั่นคง (Emotional Stable)
ผู้ที่มีความคิดเชิงรูปธรรมมักเป็นคนที่ไม่เฉลียวฉลาดนัก มักจะคิดและวิเคราะห์เฉพาะสิ่งที่สามารถรับรู้โดยประสาทสัมผัสทั้งห้ามากกว่าการใช้จินตนาการในสิงที่เป็นนามธรรม ทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆได้ช้า ขาดความมั่นคงในตนเองและขาดความจริงจังในชีวิต ส่วนผู้ที่คิดเชิงนามประธรรมเป็นคนเฉลียวฉลาด มักใช้สติปัญญาในการคิดวิเคราะห์  ในสิ่งที่ซับซ้อน มีความเพียรในการศึกษาหาความรู้ และเป็นผู้มีความมั่นคงและยอมรับวัฒนธรรม
·      องค์ประกอบที่ 3 ความรู้สึกอ่อนไหวง่าย (Affected by Feeling) – อารมณ์มั่นคง (Emotionai Stabie)
ผู้ที่มีความรู้สึกอ่อนไหวง่ายมักไม่มีความอดทนต่อสถานการณ์ยุ่งยาก เจตคติและอารมณ์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ        มีอาการเหนื่อยหน่ายทางประสาท ควบคุมอารมณ์ได้ต่ำ หงุดหงิด โกรธง่าย  และมีความวิตกกังวลเสมอ ส่วนผู้ที่มีอารมณ์มั่นคงมักมองชีวิตตามความเป็นจริงและเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์  ยอมรับและแสดงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม      ไม่มีอาการเหนื่อยหน่ายทางประสาท จิตใจสงบ
·      องค์ประกอบที่ 4 กล้าแสดงออก (Assertive) – ถ่อมตน (Humble)
ผู้ที่กล้าแสดงออกเป็นบุคคลที่มีความมั่นใจในตนเอง เป็นอิสระแก่ตน เรียกร้องสิทธิถือตนเองเป็นใหญ่ มีความก้าวร้าว ชอบมีอิธิพลเหนือผู้อื่น ส่วนผู้ที่มีลักษณะถ่อมตน มักจะยอมผู้อื่น ใจดี มีลักษณะความเป็นมิตรและพร้อม        ที่จะประพฤติตามแบบแผน
·      องค์ประกอบที่ 5 สุขุม (Sober) – ทำตนเองตามสบาย (Happy-go-lucky)
ผู้ที่สุขุมเป็นบุคคลที่มีลักษณะถี่ถ้วนระมัดระวัง ไตร่ตรอง จริงจัง ครุ่นคิด ไม่ชอบติดต่อกับผู้อื่น และไม่ช่างคุย     ส่วนผู้ที่มีลักษณะทำตนตามสบายมีลักษณะคล่องแคล่วว่องไว ช่างคุย ร่าเริง แจ่มใส เปิดเผย และกระตือรือร้น
·      องค์ประกอบที่ 6 ไม่ตามกฎ (Expedient) - ซื่อตรงต่อหน้าที่ (Conscientious)
ผู้ที่ไม่ทำตามกฎเป็นบุคคลที่มีลักษณะไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ไม่ตั้งใจเรียน ขาดเรียน  ขาดความพยายาม       ขาดความอดทน เอาแต่ได้ ละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ส่วนผู้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่มักมีความยุติธรรม มีมโนสำนึกสูง        มีธรรมประจำใจ มีความรับผิดชอบ ตั้งใจแน่วแน่และพากเพียรในการทำสิ่งต่างๆตามที่ได้รับมอบหมาย
·      องค์ประกอบที่ 7 ขี้อาย ( shy ) - กล้าเผชิญ ( venturesome )
ผู้ที่ขี้อายเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกด้อย มีความขลาดกลัวในการพูดและแสดงออก ไม่ชอบติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ความสนใจแคบ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ขาดความมั่นใจ ส่วนผู้ที่กล้าเผชิญมักมีลักษณะกล้าหาญ  กล้าเสี่ยง ชอบเข้าสังคม ร่าเริงชอบผจญภัย ชอบทดลองของใหม่ และชอบสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
·      องค์ประกอบที่ 8 จิตใจ ( tough – minded ) – จิตใจอ่อนไหว ( tender  - minded )
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งเป็นบุคคลที่จริงจังต่อชีวิต มีความรับผิดชอบ มีความเชื่อมั่นในตนเองและมีความมั่นคงหนักแน่นในการแสดงพฤติกรรมและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ส่วนผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวมักต้องการความช่วยเหลือและความเห็นใจจากผู้อื่น ชอบพึ่งพาผู้อื่น เอาใจยาก ขี้น้อยใจและมีความวิตกกังวลง่าย
·      องค์ประกอบที่ 9 น่าไว้วางใจ ( trusing ) – น่าสงสัย ( suspicious )
ผู้ที่น่าไว้วางใจเป็นคนร่าเริง ไม่ชอบการแข่งขัน ไว้วางใจบุคคลอื่น จึงสามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นได้ดี  และเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม ส่วนผู้ที่มีลักษณะน่าสงสัยมักยึดถือแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่ สนใจและเชื่อมั่นแต่ตนเอง ระแวดระวัง ไม่ไว้วางใจสังคมและบุคคลรอบด้าน
·      องค์ประกอบที่ 10 นักปฏิบัติ ทำตามความจริง ( practical ) – นักเพ้อฝัน ( imaginative )
ผู้ที่เป็นนักปฏิบัติเป็นบุคคลที่มีลักษณะลงมือปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง เจ้าระเบียบ มีความกระตือรือร้นมีความตั้งใจจริง สนใจในสิ่งเป็นไปได้และสามารถปฏิบัติงานได้จริง ส่วนผู้ที่เป็นนักเพ้อฝันมักเป็นคนที่ช่างคิดช่างฝันมีจินตนาการ สูงและมีแรงจูงใจในตนเอง ชอบสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ บางคนชอบคิดแต่ไม่ทำไม่สนใจสิ่งที่จะปฏิบัติตามกฎ
·      องค์ประกอบที่ 11 ตรงไปตรงมา ( fortright ) – มีเหลี่ยม ( shrewd )
ผู้ที่ตรงไปตรงมามักเป็นคนที่มีลักษณะซื่อ เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อนไม่มีเหลี่ยม ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม       มีรสนิยมง่ายๆ ขาดทักษะการเข้าใจตนเอง ส่วนผู้ที่มีเหลี่ยมมักเป็นคนฉลาดแหลมคม หรือฉลาดแบบมีเล่ห์เหลี่ยม      ช่างวิเคราะห์ มีความทะเยอะทะยาน
·      องค์ประกอบที่ 12 มั่นคงในตนเอง ( self assured ) - หวาดกลัว ( apprehensive )
ผู้ที่มีความมั่นคงในตนเองเป็นบุคคลที่มีประสาทมั่นคง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีความเชื่อมั่นในตนเองและเชื่อในประสิทธิภาพแห่งตนสูง ส่วนผู้ที่หวาดกลัวมักมีความวิตกกังวลสูง ตกใจง่าย อารมณ์หวั่นไหวง่าย มักมีอารมณ์เศร้าหมอง หงอยเหงาและขาดความรู้สึกปลอดภัย
·      องค์ประกอบที่ 13 นักอนุรักษ์ ( conservative ) - นักทดลอง ( experimention )
ผู้ที่เป็นนักอนุรักษ์มักเป็นบุคคลที่มีแนวคิดยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ชอบการวิเคราะห์ หัวเก่า เชื่อมั่นในสิ่งที่ได้รับการปลูกฝังและอบรมสั่งสอน ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ส่วนผู้ที่เป็นนักทดลองมักชอบพิสูจน์ทดลอง ชอบใช้สติปัญญาในการคิดค้นและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ไม่เชื่อคนง่ายและชอบการเปลี่ยนแปลง
·      องค์ประกอบที่ 14 พึ่งกลุ่ม ( group – dependency ) - พึ่งตนเอง ( self – sufficient )
ผู้ที่พึ่งกลุ่มมักเป็นบุคคลที่ขาดความมั่นใจ ไม่เป็นตัวของตัวเอง เป็นบุคคลที่ชอบทำงานหรือตัดสินใจร่วมกับผู้อื่น  เป็นผู้ร่วมงานและผู้ตามที่ดี ต้องการการสนับสนุนจากหมู่คณะ ส่วนผู้ที่พึ่งตนเองมักเคยชินกับการทำงานตามวิธีการ    ของตน เน้นความคิดและความพึงพอใจของตนเป็นหลัก ไม่สนใจความคิดเห็นของสังคม
·      องค์ประกอบที่ 15 หุนหันพลันแล่น ( undisciplined ) - ควบคุมบังคับ ( controlled )
ผู้ที่หุนหันพลันแล่นมักเป็นคนที่ขาดวินัยในตนเอง เป็นบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมแรงจูงใจหรืออารมณ์ของตนเองได้ มักมีความขัดแย้งในตัวเอง ปรับตัวยาก ส่วนผู้ที่ควบคุมบังคับ สามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองได้ดี มีวินัยในตนเอง มีความตั้งใจจริงในการทำสิ่งต่างๆ สนใจสังคมและปรับตัวง่าย
·      องค์ประกอบที่ 16 ผ่อนคลาย ( relaxed ) - เคร่งเครียด ( tense )
ผู้ที่ผ่อนคลายมันเป็นบุคคลที่ไม่เคร่งเครียด อารมณ์เย็น รักสงบ แสดงพฤติกรรมแบบสบายๆ มีความคับข้องใจน้อยและมักพอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ส่วนผู้ที่เคร่งเครียด มักมีความเครียด ตื่นเต้น ตกใจง่ายและหงุดหงิดง่าย มีความคับข้องใจและขัดแย้งสูง

ข้อดีของแบบทดสอบ  16 PF

แบบทดสอบบุคลิกภาพแบบ  16 PF เป็นแบบทดสอบที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและมีการนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น วงการจิตเวช วงการศึกษา และวงการธุรกิจ เป็นต้นเนื่องจากแบบทดสอบนี้มีจุดเด่น 3  ประการ คือ
1. เป็นแบบทดสอบที่สามารถวัดองค์ประกอบบุคลิกภาพของบุคคลได้ถึง 16 ด้าน ( primary factor )และ 8 ประเภทของบุคลิกภาพ ( second –order factor )
2. มีการให้คะแนนอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์ในการแปลความหมาย
3. สามารถทำการทดสอบได้ทั้งรายบุคคลและแบบกลุ่มและ สามารถตรวจให้คะแนนและแปลความหมายด้วยมีหรือ ตรวจด้วยคอมพิวเตอร์ได้

เกณฑ์ปกติ ( Norms )   

           แคทเทลได้สร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบบุคลิกภาพ  16 PF  เพื่อให้ทราบว่าผู้รับการทดสอบแต่ละคนมีคะแนนอยู่ในตำแหน่งใดเมื่อเทียบกับกลุ่มโดยคำนึงถึงสถานภาพทางสังคม ภูมิภาค  อายุ เขตชนบทและเขตเมืองของกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นประชากรชาวอเมริกันโดยมีรายละเอียดดังนี้
1การสร้างเกณฑ์ปกติแยกตามฟอร์ม A ,B ,C, D  และ E
2การสร้างเกณฑ์ปกติโดยรวมฟอร์มต่างๆซึ่งไม่ใช่การหาค่าเฉลี่ยของแต่ละฟอร์มได้แก่ฟอร์ม ( A+B ) และ ( C+D )
3การสร้างตารางปกติจำแนกตามเพศ โดยเป็นตารางปกติสำหรับเพศชาย ตารางเกณฑ์ปกติสำหรับเพศหญิง และตารางเกณฑ์ปกติที่ไม่ได้จำแนกเพศ
4การสร้างตารางเกณฑ์ปกติจำแนกตามอายุ ได้แก่
4.1 กลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีอายุมาตรฐาน ( standard age ) ระหว่าง 17 – 19 ปี
4.2 กลุ่มนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย มีอายุมาตรฐาน ( standard age ) ระหว่าง 20 –29ปี
4.3 กลุ่มประชากรทั่วไป มีอายุมาตรฐาน ( standard age ) ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
แคทเทลยังได้จัดกลุ่มองค์ประกอบบุคลิกภาพที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันเรียกว่า second-order factors  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า global factors ซึ่งช่วยให้ทราบว่าบุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงออกหรือมีบุคลิกภาพโดยรวมเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือสิ่งเร้าที่มากระตุ้นประกอบด้วย
·      Extraversion : การแสดงตัวและกล้าแสดงออกในสังคมประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ  A,F,H สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ Q2 ต่ำ
·      Anxiety : ความวิตกกังวลประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ  L,O และ Q4 สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ C,H,Q3 ต่ำ
·      Tough poise : จิตใจเข้มแข็งและหนักแน่นประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ  F สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ A,I,M ต่ำ
·      Independence : การเป็นตัวของตัวเองประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ E,H,Q1และQ2สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ G ต่ำ
·      Control : การควบคุมตนเองประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ Gและ Q3 สูง
·      Adjustment : การปรับตัวประกอบด้วยคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ B,C,E,F,G และ Q1 สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ H,I,O และ Q4 ต่ำ
·      Leadership : ความเป็นผู้นำประกอบด้วยคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ B C,E,F,G ,H,NและQ3 สูง และคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ I,M,O และ Q4 ต่ำ
·      Creativity : ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ B,E,H,I,M,Q1และ Q2 สูง และคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ A,F และ N ต่ำ
แคทเทลยังได้สร้างมาตรฐานสำหรับวัดอคติในการตอบแบบทดสอบนี้อีกด้วยได้แก่ faking good scale , faking bad scale  และ random answering scale faking good scale หรือ motivational distortion  scale คือการตอบเพื่อที่จะให้ตนเองมีบุคลิกภาพที่พึงประสงมากกว่าความเป็นจริงเป็นการแสร้งตอบเพื่อให้ตนเองดูดีกว่าความเป็นจริงจากจำนวนข้อทดสอบทั้งหมด 187 ข้อมีข้อที่วัด faking good scale จำนวน 14 ข้อแต่ละข้อมีค่าคะแนนเท่ากับ 1 faking bad scale  คือการตอบเพื่อให้ตนเองมีบุคลิกภาพไม่เป็นที่ประสงค์กว่าความเป็นจริงซึ่งเป็นการแสร้งตอบเพื่อให้ตนเองไม่ดีจากจำนวนข้อทดสอบทั้งหมด 187 ข้อมีข้อที่วัด faking bad scale จำนวน 15ข้อ แต่ละข้อมีค่าคะแนนเท่ากับ 1 random answering scale คือการตอบเดาสุ่มผู้รับการทดสอบที่ตอบเดาสุ่มมักตอบแบบ infrequent มากกว่าคนที่ตอบอย่างซื่อสัตย์จากจำนวนข้อทดสอบทั้งหมด 187 ข้อมีข้อที่วัดการตอบเดาสุ่มจำนวน31ข้อการนับคะแนนจะนับจากข้อที่ตอบและไม่ตอบถ้าได้คะแนนดิบตั้งแต่ 5 ข้อขึ้นไปเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้รับการทดสอบอาจจะตอบแบบเดาสุ่มและถ้านับคะแนนดิบได้ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปถือว่าผู้รับการทดสอบตอบอย่างเดาสุ่มแน่นอนและต้องคำนึงถึงด้วยว่าผู้ทดสอบเข้าใจคำแนะนำในการตอบแบบทดสอบหรือไม่อย่างไร

การให้คะแนนแบบทดสอบบุคลิกภาพแบบ  16 PF 

การให้คะแนนโดยตรวจเครื่องหมายกากบาทในแต่ละข้อและให้คะแนนโดยใช้คำเฉลยจากคู่มือ
แบบทดสอบซึ่งแต่ละข้อมีคำตอบ 3 คำตอบคือ ใช่   ไม่แน่ใจ  ไม่ใช่  โดยให้ผู้ตอบเลือกคำตอบที่ตรงกับความคิดของตัวเองและความรู้สึกของตัวเองให้มากที่สุดเพียงคำตอบเดียวแต่ละข้อมีคะแนนได้ตั้งแต่  0 , 1 , 2  หรือ  2 , 1, 0  ของแต่ละองค์ประกอบของบุคลิกภาพทั้ง 16  ด้านยกเว้นองค์ประกอบ  B  ซึ่งมีคะแนนเท่ากับ 0 ,1 หรือ 1, 0  นอกจากนี้ยังมี faking good scale , faking bad scale  และ random answering scale โดยแต่ละข้อมีคะแนน  0 ,1  โดยคำตอบที่ถูกจะต้องได้คะแนนเท่ากับ 1 คำตอบที่ผิดจะได้คะแนนเท่ากับ  0

 หลักเกณฑ์ในการแปลผล

การแปลผลจะต้องพิจารณาจากคะแนนสูงหรือต่ำประกอบกับความหมายขององค์ประกอบบุคลิกภาพคือ
1. พิจารณาคะแนนมาตรฐาน ( sten, score ) ซึ่งได้มาจากการแปลงคะแนนดิบ(raw score)โดยเทียบคะแนนตามตารางปกติก็จะทำให้ทราบว่าผู้รับการทดสอบได้คะแนนสูงต่ำดังนี้
·      ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน 1,10  หมายถึง มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆสูงหรือต่ำอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่า 1 มีลักษณะชอบแยกตัว ปรับตัวยาก
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่า 10 มีลักษณะชอบสังคม ปรับตัวง่าย
·      ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน  2,3,8,9    หมายถึง  มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆค่อนข้างไปทางสูงหรือต่ำเป็นอย่างมากตัวอย่างเช่น
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ  A เท่า  2,3 มีลักษณะค่อนข้างแยกตัวและปรับตัวยาก
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ  A เท่า  8,9  มีลักษณะค่อนข้างชอบสังคมและ ปรับตัวง่าย
·      ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน 4,7  หมายถึง มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆมีแนวโน้มสูงหรือต่ำเพียงเล็กน้อยตัวอย่างเช่น
ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่ากับ 4  มีแนวโน้มที่จะชอบแยกตัวและ ปรับตัวยาก
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ  A เท่ากับ  7  มีแนวโน้มที่จะชอบสังคมและ ปรับตัวง่าย
·      ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน 5,6  หมายถึง มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆปานกลางเหมือนคนส่วนใหญ่ ( average) ตัวอย่างเช่น
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ  A เท่ากับ  5 หรือ 6  มีลักษณะกลางๆคือไม่ถึงกับมีแนวโน้มชอบสังคมหรือแยกตัว
2. พิจารณาความหมายของแต่ละองค์ประกอบบุคลิกภาพ (primary factors) ตามคู่มือการทดสอบ
3. พิจารณากลุ่มองค์ประกอบของบุคลิกภาพที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันที่เรียกว่า second-order factors ซึ่งมีทั้งหมด 8 ด้านตามคู่มือการทดสอบมาตรฐาน ได้แก่ extraversion, anxiety, tough poise, independence, control, adjustment, leadership และ creativity

ตัวอย่างแบบทดสอบ 16 PF

การวิจัยบุคลิกภาพผู้ต้องขังด้วยแบบทดสอบ 16 PF: กรณีเรือนจำ/ทัณฑสถานในเขตกรุงเทพ/ปริมณฑล และเรือนจำที่มีนักจิตวิทยาประจำอยู่
นางสาววรดา   วสันต์นันทสิริ
นักจิตวิทยา 5
กองบริการทางการแพทย์ กรมราชทัณฑ์์
การศึกษาวิจัยบุคลิกภาพผู้ต้องขังด้วยแบบทดสอบ The Sixteen Personality Factor Questionnaire (16 PF) : กรณีศึกษาเรือนจำ/ทัณฑสถานในเขตกรุงเทพฯ / ปริมณฑล และเรือนจำที่มีนักจิตวิทยาประจำอยู่ เป็นการศึกษาวิจัยทางจิตวิทยาเชิงสำรวจเพื่อเป็นแนวทางให้ทราบถึงลักษณะบุคลิกภาพของผู้ต้องขัง โดยใช้ผู้ต้องขังกลุ่มตัวอย่าง 416 คน จากเรือนจำ/ทัณฑสถาน 19 แห่ง
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาวิจัย มีดังนี้
·      ตัวแปรอิสระ ได้แก่ สภาพทั่วไปของผู้ต้องขัง แยกเป็นเพศ อายุ ระดับการศึกษา จำนวนครั้งที่กระทำผิด คดี ระยะเวลาการอยู่ในเรือนจำ
·      ตัวแปรตาม ได้แก่ บุคลิกภาพ 16 รายการ ตามแบบทดสอบ The Sixteen Personality Factor Questionnaire (16PF)

เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ แบ่งได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 แบบสัมภาษณ์คำถามเกี่ยวกับสถานภาพทั่วไปของผู้ต้องขัง มีคำถาม 11 ข้อ ได้แก่ เรื่องภูมิลำเนา ประวัติการศึกษา สถานภาพครอบครัว ประวัติการต้องโทษ ประวัติการใช้สารเสพติด โรคประจำตัวหรือโรคที่เจ็บป่วยเรื้อรัง ประวัติการรักษาความเจ็บป่วยทางจิต ประวัติในการทำร้าย ตนเอง รอยสักในร่างกาย ประวัติครอบครัวในวัยเด็ก
ส่วนที่ 2 แบบทดสอบ The Sixteen Personality Factor Questionnaire (16 PF) ของเรย์มอนด์ บี.แคทเทล (Raymond B.Cattell) เป็นฉบับที่เรียบเรียงเป็นภาษาไทย และปรับปรุงขึ้นโดยคณะนักจิตวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อ พ.ศ. 2533 และได้รับการยอมรับว่ามีความเที่ยงและความตรง ซึ่งประกอบด้วยข้อคำถาม 187 ข้อ แต่ละข้อคำถามมีลักษณะเป็นข้อความเชิงบรรยาย และมีคำตอบ 3 คำตอบ คือ ใช่ ไม่แน่ใจ ไม่ใช่ ใช้เทคนิคบังคับให้เลือกตอบ (Force-Choice Technique) เกณฑ์ในการตรวจให้คะแนน การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้การตรวจด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
สถิติที่ใช้
1.      ใช้ค่าสถิติแบบร้อยละในการแจกแจงความถี่ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
2.      ใช้ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และค่าเฉลี่ยแสดงผลคะแนนของแต่ละองค์ประกอบคุณลักษณะทั้ง 16 รายการ
3.      ใช้สถิติ T – test แบบ Independent Sample ในการหาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปรที่เป็นอิสระต่อกัน
4.      ใช้สถิติแบบ One - way ANOVA ในการหาความสัมพันธ์ของตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป
 การวิเคราะห์ข้อมูล
1.      ตรวจนับคะแนนที่ได้จากการตอบแบบทดสอบ
2.      แสดงค่าร้อยละข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
3.      แสดงผลการตรวจบุคลิกภาพในองค์ประกอบคุณลักษณะแต่ละด้านทั้ง 16 ด้านจากแบบทดสอบ 16 PF วิเคราะห์คะแนนต่ำสุด คะแนนสูงสุด และคะแนนเฉลี่ย
4.      เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยขององค์ประกอบคุณลักษณะบุคลิกภาพ ในแต่ละองค์ประกอบระหว่างตัวแปรทางด้านเพศ อายุ การศึกษา คดี สถานภาพครอบครัว ฯลฯ โดยใช้ T – test และ One - way ANOVA

ผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่า ภาพรวมของลักษณะบุคลิกภาพของผู้ต้องขัง มีลักษณะบุคลิกภาพแบบสมยอมและถ่อมตน เชื่อฟังผู้อื่น ถูกชักจูงและควบคุมง่าย ใจอ่อน ชอบพึ่งพิงผู้อื่น ทำตามผู้อื่น อ่อนน้อม มีความประนีประนอม ชอบแสดงความรู้สึก ไม่ชอบเข้าหาผู้ใหญ่ มีความเชื่อถือในขนบธรรมเนียมประเพณี และจากสมมุติฐานการศึกษาวิจัยครั้งนี้ พบว่า มีความแตกต่างขององค์ประกอบบุคลิกภาพระหว่างเพศ , อายุ , การศึกษา , จำนวนครั้งที่กระทำผิด , คดี และระยะเวลา
การถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5

ทฤษฎีบุคลิกภาพตามปัจจัยห้าประการ ( The Five-Factor Theory of Personality )

นักวิจัยด้านลักษณะบุคลิกภาพได้นำเสนอ ห้ามิติพื้นฐานสำหรับอธิบายลักษณะบุคลิกภาพ ( Big Five Dimensions of Personality ) ซึ่งเป็นลำดับเหตุการณ์ที่มีการนำมาอธิบายอย่างต่อเนื่องกันมามากกว่า 50 ปี เริ่มต้นด้วยงานวิจัยของฟิสเก้ ( D. W. Fiske, 1949 ) และต่อมาก็ได้นำมาขยายความโดยนักวิจัยคนอื่นๆ ได้แก่ นอร์แมน ( Norman, 1967 ) สมิธ ( Smith, 1967 ) โกลด์เบิร์ก ( Goldberg, 1981 ) และแมคแครกับคอสต้า ( McCrae & Costa, 1987 )
ทฤษฎีของทั้งคัตเทลล์และไอย์เซงค์ มีลักษณะเป็นอัตพิสัยของการวิจัย นักทฤษฎีบางคนเชื่อและยืนยันว่า คัตเทลล์ให้ความสำคัญอย่างมากต่อลักษณะบุคลิกภาพ ขณะที่ไอย์เซงค์ก็เน้นบ้างแต่ไม่มากเท่า ทำให้เกิดทฤษฎีลักษณะบุคลิกภาพใหม่ที่หลายคนอ้างถึงภายใต้ชื่อว่า “ทฤษฎีบุคลิกภาพห้าแบบ” ( Big Five Theory ) ซึ่งแบบจำลองแสดงลักษณะบุคลิกภาพห้าแบบนี้ ได้นำเสนอลักษณะหลัก 5 แบบที่ปฏิสัมพันธ์กับรูปแบบของลักษณะบุคลิกภาพของมนุษย์ ข้างล่างต่อไปนี้เป็นคำบรรยายลักษณะทั้งห้าแบบง่ายๆ
1. การเข้าสังคม ( Extraversion, Sometimes Called Surgency ) เป็นลักษณะกว้างๆ ของคนที่ชอบพูดมาก ทรงพลัง และก้าวร้าว บุคคลที่มีอุปนิสัยแบบนี้มักจะมีอะไรตื่นเต้นตลอดเวลา (Excitability) ชอบเข้าสังคม (Sociability) ชอบพูดและพูดได้ทุกเรื่อง ( Talkativeness ) ชอบเปิดเกมรุก ( Assertiveness ) และชอบแสดงออกทางอารมณ์          ( Emotional Expressiveness )
2. ความเป็นมิตร/ยอมรับกันและกัน ( Agreeableness ) ลักษณะบุคลิกภาพแบบนี้จะเป็นคนที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust) มีหลักปฏิบัติที่เห็นแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ( Altruism ) มีความกรุณา ( Kindness ) มีความเมตตา ( Affection ) และมีพฤติกรรมชอบสังคม ( Prosocial Behaviors ) 
3. ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ( Conscientiousness ) ลักษณะพื้นฐานของบุคคลที่จัดอยู่ในมิตินี้ คือ เป็นผู้ที่มีระดับการคิดตรึกตรองสูง ( Thoughtfulness ) เป็นคนที่มีลักษณะเจ้ากี้เจ้าการ รอบคอบ และเจ้าแผนการ มีการควบคุมสิ่งกระตุ้นดี ( Good Impulse Control ) และมีพฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมายเป็นสำคัญ ( Goal-Directed Behaviors ) บุคคลที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนี้มักจะถูกจัดการและเตรียมจิตใจในรายละเอียดต่างๆ มาเป็นอย่างดี
4. ความเอนเอียงของอารมณ์ ( Neuroticism, Sometimes Reversed and Called Emotional Stability )  บุคคลที่มีอุปนิสัยแบบนี้จะเป็นผู้มีอารมณ์ไม่มั่นคง ( Emotional Instability ) มีความกังวลอยู่เสมอ  ( Anxiety ) มีอารมณ์ขุ่นหมองเสมอ ( Moodiness ) ฉุนเฉียวง่าย ( Irritability ) และซึมเศร้า ( Sadness )
5. ความจริงใจตรงไปตรงมา ( Openness to Experience, Sometimes Called Intellect or Intellect/Imagination ) เป็นลักษณะของคนที่สามารถให้ความสนใจต่อโลกกว้าง และสามารถมองทะลุ/เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ เป็นคนมีจินตนาการและมองทะลุในสิ่งที่สนใจ (Imagination and Insight) และมีความสนใจหลายหลาก ( Broad Range of Interests )
จะเห็นได้ว่า มิติที่กล่าวมานี้เป็นภาพรวมของลักษณะบุคลิกภาพ งานวิจัยหลายฉบับได้แสดงให้เห็นถึงการจัดกลุ่มลักษณะของบุคคลที่นำไปสู่การมีลักษณะอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกันตามมา ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ชอบเข้าสังคมก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนชอบพูดด้วย อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยเหล่านี้มีความซับซ้อนและแปรปรวน และบุคคลแต่ละคนอาจจะแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมาผ่านมิติต่างๆ เหล่านี้

การประเมินบุคลิกภาพด้วยวิธีการศึกษาอุปนิสัย (Assessing the Trait Approach to Personality)

ขณะที่คนส่วนใหญ่ยอมรับว่า เราสามารถอธิบายเกี่ยวกับประชาชนบนพื้นฐานของลักษณะบุคลิกภาพ นักทฤษฎีกลับยังคงถกแถลงกันในเรื่องของอุปนิสัยที่จะมีส่วนปรุงแต่งบุคลิกภาพของมนุษย์ แม้ว่าทฤษฎีอุปนิสัยมีความเป็นวัตถุประสงค์ซึ่งทฤษฎีลักษณะบุคลิกภาพบางทฤษฎีไม่มี ( อย่างเช่นทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ) แต่ก็ยังคงมีข้อด้อยอยู่หลายอย่าง ซึ่งบางสิ่งบางอย่างที่ดูจะเป็นจุดวิกฤติเบื้องต้นของทฤษฎีอุปนิสัย ก็คือ การมุ่งเน้นอยู่ที่ความจริง ที่บ่อยครั้งอุปนิสัยเป็นตัวทำนายพฤติกรรมที่ไม่ดีนัก ขณะที่บุคคลแต่ละคนอาจจะให้คะแนนสูงมากในการประเมินอุปนิสัยเฉพาะ เขาหรือเธออาจจะไม่ได้มีความประพฤติไปตามสถานการณ์หลายๆ อย่างเหล่านั้น ปัญหาอื่นๆ ยังมีให้เห็นอีก คือ ทฤษฎีอุปนิสัยไม่ได้เข้าไปมีส่วนอธิบายว่า ความแตกต่างในด้านบุคลิกลักษณะของบุคคลแต่ละคนพัฒนาหรือเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะอะไร












บรรณานุกรม

               จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์ ( 2556 ). จิตวิทยาทั่วไป. ( พิมพ์ครั้งที่ 1 ).
 กรุงเทพฯ  : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
          จุฬาลักษณ์ กลิ่นอ้ม ( 2553 ). ทฤษฏีบุคลิกภาพของฮันส์ เจอร์เกน ไอเซงค์ ( ออนไลน์ ).
                     สืบค้นจาก : http://mcru-pr1-564188019.blogspot.com/p/blog-page_11.html
          รัชนี เปาะเดง ( 2559 ). ทฤษฏีบุคลิกภาพของฮันส์ เจอร์เกน ไอเซงค์ ( ออนไลน์ ).
                     สืบค้นจาก : http://ratchneepokdeng.blogspot.com
          วรดา วสันต์นันทสิริ ( 2557 ). แบบทดสอบบุคลิกภาพแบบ  16 PF ( ออนไลน์ ).
                     สืบค้นจาก : http://www.correct.go.th/jit/research.html
          Anna tongjeen ( 2552 ). ฮันส์ ไอแซงค์ ( Hans Eysenck ) ( ออนไลน์ ) .
                     สืบค้นจาก https://kingannablog.wordpress.com
          Chulalongkorn ( 2553 ). บุคลิกภาพ 16 PF ( ออนไลน์ ).
                      สืบค้นจาก : http://www.cumentalhealth.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539909361
          Natachoei ( 2551 ). Raymond B. Cattell ( ออนไลน์ ).
                     สืบค้นจาก : https://www.gotoknow.org/posts/208736
          Privacy Policy ( 2550 ). ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว ( ออนไลน์ ).
                     สืบค้นจาก : http://www.novabizz.com/NovaAce/Personality/
          Somlim ( 2553 ). ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว ( ออนไลน์ ).
                     สืบค้นจาก : http://pathanar.blogspot.com/2010/07/trait-theory-of-personality.html
         





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น