รายงาน
เรื่อง
ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว
จัดทำโดย
1. นายเอกมงคล จันทกุมาร เลขที่ 8
2. นางสาวอลิตา
อ่อนแสง เลขที่
9
3. นางสาวอาทิตยา ขาวเมืองน้อย
เลขที่ 11
4. นางสาวเจนจิรา จิตรีรมณ์
เลขที่ 18
5. นางสาววีรยา
วชิรมน เลขที่
19
6. นายกำพล จิตรพรทรัพย์ เลขที่ 22
7. นายทองเทพ ยืนยง เลขที่ 25
ระดับปริญญาตรี
ชั้นปีที่ 1/4
เสนอ
อาจารย์ ปรารถนา
อังคประสาทชัย
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียน วิชาจิตวิทยาทั่วไป รหัสวิชา
0020003
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559
คณะ บริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ
สาขา เทคโนโลยีโลจิสติกส์และการจัดการระบบขนส่ง
มหาวิยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
วิทยาเขตจักพงษภูวนารถ
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
จิตวิทยาทั่วไป จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาดูทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาควบคู่กับการเรียนในรายวิชา
จิตวิทยาทั่วไป ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลของทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว
ผู้จัดทำได้จัดทำเกี่ยวกับทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว
บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ สามารถทำความเข้าใจ และระบุคุณสมบัติ ขั้นพื้นฐานที่ทำให้เกิดพฤติกรรมมนุษย์และนับรวมไปถึงองค์ประกอบของพฤติกรรม
ที่แสดงให้เห็น ถึงความอดทน พื้นฐานจิตใจ และรวมถึงพฤติกรรมในสภาวะเหตุการณ์ต่างๆ
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มาศึกษา
และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นได้
หากรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
2 เม.ย. 60
สารบัญ
ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว
ทฤษฏีคุณลักษณะเฉพาะตัว
กล่าวว่า บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจ
และระบุคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่ทำให้เกิดพฤติกรรมมนุษย์ และนับรวมไปถึงองค์ประกอบของพฤติกรรม
ที่แสดงให้เห็นถึงความอดทน พื้นฐานจิตใจ และรวมถึงพฤติกรรมในสภาวะเหตุการณ์ต่างๆ
กอร์ดอน แอลพอร์ท ( Gordon Allport )
อธิบายว่า
คุณลักษณะเป็นรากฐานของระบบประสาทของบุคคล เป็นโครงสร้างของระบบจิตประสาท ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมบังคับหรือเป็น
แกนนำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมช่วยสร้างความเชื่อมั่น
และทำให้บุคคลอื่นเกิดความรู้สึกยินดีและทำให้ครอบครัวอบอุ่น
ถ้าบุคคลใดที่ขาดคุณลักษณะเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าสังคมจะมีพฤติกรรมที่ผิดหลัง
มีความรู้สึกแตกต่างกันอย่างมากในสภาวะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
แคทเทลล์ ( Raymond B. Cattell )
อธิบายว่า แต่ละบุคคลจะสามารถอธิบายได้ตามคุณลักษณะของบุคคล
เช่น มีความเป็นมิตร ติดต่อสัมพันธ์กัน ชอบเข้าสังคม แจกแจงจากลักษณะนิสัยซ่อนเร้น
( Source
traits ) ซึ่งพฤติกรรมต้นจะมีอยู่ 16 แบบ
และมีลักษณะค้านกันเป็นคู่ เช่น พึ่งตนเองตรงข้ามกับพึ่งพวกพ้อง
หรือใฝ่อิทธิพลกับคล้อยตาม เรียกลักษณะเหล่านี้ว่า นิสัยทั้ง 16 ของบุคลิกภาพ
ทฤษฎีอุปนิสัยของแอลพอร์ท ( Allport’s
Trait Theory )
ประวัติอัลล์พอร์ต ( Allport )
|
ในการอธิบายเกี่ยวกับบุคลิกภาพนั้น
แอลพอร์ท กล่าวว่า
ภายในตัวบุคคลจะมีการจัดระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ระบบภายในดังกล่าวมี 5 ระดับ คือ
ระบบภายในตัวบุคคล
ระดับที่
1 ได้แก่ การกระทำง่ายๆ ที่เกิดจากการมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้า (Response)
ระดับที่
2 ได้แก่ นิสัย ( Habit ) หรือการกระทำซ้ำที่เกิดจากการเรียนรู้
ระดับที่
3 ได้แก่ ลักษณะนิสัย (Traits ) เกิดจากการผสมผสารของนิสัยเฉพาะต่างๆ
ระดับที่
4 ได้แก่ ตัวตน ( Selves
) เกิดจากการผสมผสารของลักษณะนิสัยต่างๆ แอลพอร์ท เชื่อว่า แต่ละคนจะมีตัวตนได้มากกว่าหนึ่ง
เช่น เมื่ออยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนเด็กจะมีตัวตนอย่างหนึ่ง
แต่เมื่ออยู่กับแม่ที่บ้านจะมีตัวตนอีกแบบหนึ่ง
ระดับที่
5 ได้แก่ บุคลิกภาพ ( Personality ) เกิดจากการผสมผสานของตัวตนหรือเป็นระบบรวมทั้งหมดภายในตัวบุคคลนั้นเอง
แอลพอร์ท
เน้นว่า ไม่มีอะไรที่จะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพของบุคคลได้ดีเท่ากับลักษณะนิสัย
เพราะลักษณะนิสัยจะเป็นสิ่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์
ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคลและเป็นแนวทางสำหรับการแสดงพฤติกรรม
แอลพอร์ทได้แบ่งลักษณะนิสัยออกเป็น 2 ชนิด คือ
(1)
ลักษณะนิสัยสามัญ ( Common Traits )
ได้แก่ ลักษณะนิสัยที่ปรากฏให้เห็นร่วมกันในบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในสังคมวัฒนธรรมเดียวกัน
ซึ่งมีค่านิยมทางสังคม ศาสนา และการเมืองคล้ายกัน เช่น ลักษณะนิสัยสามัญของคนไทย
ได้แก่ ความแกรงใจ และความมีน้ำใจ ฯลฯ
(2)
ลักษณะเฉพาะบุคคล ( Personal Traits )
ได้แก่ ลักษณะนิสัยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล
ทำให้แต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันออกไป ลักษณะเฉพาะนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3
ประเภทดังนี้
ก.
ลักษณะนิสัยสำคัญ ( Cardinal Traits )
เป็นลักษณะนิสัยที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดเป็นลักษณะนิสัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมของบุคคลในเกือบทุกๆ
ด้านเพราะเป็นลักษณะนิสัยที่กำหนดอารมณ์ ความรู้สึก และวิธีการดำเนินชีวิต
ข.
ลักษณะนิสัยร่วม ( Central Traits ) เป็นลักษณะนิสัยที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจนสังเกตง่าย
เป็นลักษณะร่วมที่หลายคนมีเหมือนกัน แต่ละคนอาจมีลักษณะร่วมนี้ปรากฏให้เห็นประมาณ
4 – 10 ลักษณะ
ค. ลักษณะนิสัยทุติยภูมิ
( Secondary
Traits ) เป็นลักษณะนิสัยที่ปรากฏอยู่ภายนอกทั่วๆ ไป
ซึ่งมีอยู่มากมายภายในตัวบุคคล ส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะนิสัยเชิงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อการตอบโต้สถานการณ์ต่างๆ
เช่น ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
บุคลิกภาพที่มีวุฒิภาวะ
แอลพอร์ทได้อธิบายถึงบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่มีวุฒิภาวะว่า
คือ บุคคลที่มีอิสรภาพจากแรงจูงใจเก่าๆ แอลพอร์ทได้สรุปคุณลักษณะของผู้คนที่มีวุฒิภาวะแห่งบุคลิกภาพไว้
6 ประการ คือ
1. เป็นบุคคลที่สามารถขยายความสนใจที่นอกเหนือจากตัวตน
(Extension
of the Sense of Self)มีจิตสาธารณะ
สามารถสร้างสรรค์และแบ่งปันความคิดและพลังเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อบุคคลอื่นและสังคม
2. สามารถสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่น
(Warm
Relatedness to Others) มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่วิจารณ์
ถากถางหรือล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น
สามารถปรับตัวกับบุคคลอื่นได้ในทุกสถานการณ์
3. ยอมรับตนเอง
(Self
– acceptance) มีความมั่นคงทางอารมณ์และรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
มีความอดทนอดกลั่นต่อความคับแค้นใจสูง สามารถควบคุมตนเองได้
4. รับรู้ความจริงอย่างถูกต้อง
(Realistic
Perception of Reality) ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง มุ่งแก้ ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการแก้ปัญหาโดยยึดอารมณ์ความรู้สึกหรือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก
5. ทำตนเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงง่าย
(Self
– objectification) ยอมรับความเด่นและความด้อยส่วนตน
เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ทำตนเป็นผู้ลึกลับหรือทำตนอวดรู้เหนือคนอื่น
6. มีเอกภาพแห่งปรัชญาชีวิต
(Unifying
Philosophy of Life) ความเข้าใจจุดมุ่งหมายของชีวิตอย่างชัดเจน
มีอุดมการณ์
มีความมุ่งมั่นบอกบั่นในการต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อการบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต
ทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบลักษณะนิสัย (factor Analytic Trait Theory )
ประวัติ เรย์มอนด์ บี แคทเทลล์
( Raymond B. Cattell )
|
โครงสร้างบุคลิกภาพของแคทเทล
ทฤษฎีบุคลิกภาพของแคทเทล
มีโครงสร้างบุคลิกภาพประกอบด้วย อุปนิสัย ( Traits ) หน่วยพลัง ( Ergs ) เมตะเอิร์ก ( Metaergs ) สังกัปอุดหนุน ( Subsidiation
) และตัวตน ( The Self
) ซึ่งมีรายโดยละเอียดดังนี้
1.
อุปนิสัย
(
Traits )
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่แคทเทลถือว่า
อุปนิสัย คือ “โครงสร้างของจิต” ( Mental Structure ) เป็นตัวกระทำให้พฤติกรรมของบุคคลคงที่ และแคทเทลมีแนวความคิดเหมือนอัลล์พอร์ต
( Allport ) ว่า บุคคลแต่ละคนมีอุปนิสัยร่วมหรือสามัญลักษณะ
( Common Traits ) ด้วยกันทั้งนั้น เช่น
การมีประสบการณ์ทางสังคมอย่างเดียวกัน ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์หรือวิสามัญลักษณะ (
Unique Traits ) หมายถึง อุปนิสัยที่มีอยู่เฉพาะในบุคคลแต่ละคน ซึ่งคล้ายคลึง
อุปนิสัยร่วม เป็นคุณลักษณะต่างๆ
ที่มีอยู่ในบุคคลทั่วไป เช่น ความสามารถ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม
สติปัญญาและความเชื่อมั่นในตนเอง
ส่วนอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์จะเป็นลักษณะที่ปรากฏขึ้นในส่วนของเจตคติและความสนใจเฉพาะของแต่ละบุคคล
อุปนิสัยมี
2 ชนิด คือ
1.1 อุปนิสัยพื้นผิว ( Surface
Traits ) เป็นอุปนิสัยที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน
เป็นลักษณะนิสัยของบุคคลที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยอุปนิสัยต้นตอเป็นโครงสร้างที่แท้จริงซึ่งถือเป็นรากฐานของบุคลิกภาพและเป็นตัวที่กำหนดการแสดงออกของอุปนิสัยพื้นผิวหลายๆ
แบบ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องศึกษาเมื่อพบปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการบุคลิกภาพ
อาการเจ็บปวดทางกายหรือโรคทางกายที่มีสาเหตุเนื่องมาจากจิตใจและความเปลี่ยนแปลงในบูรณาการของบุคลิกภาพ
( Dynamic Intergration ) นอกจากนี้อุปนิสัยต้นตอยังเป็นผลของพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมผสมกัน ซึ่งอาจเรียกอุปนิสัยต้นตอว่าเป็นอุปนิสัยแม่บท
( Constitutution Traits )
1.2
อุปนิสัยต้นตอ ( Source Traits ) แบ่งออกเป็น
3 แบบตามการแสดงออกคือ
(1) อุปนิสัยแรงขับ ( Dynamic
Traits ) ได้แก่ อุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ และความสนใจของ บุคคลเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมาย
(2) อุปนิสัยเกี่ยวกับความสามารถ ( Ability
Traits ) ได้แก่
อุปนิสัยที่เป็นตัวกำหนดความสามารถของบุคคลให้ทำงานไปสู่จุดมุ่งหมาย
(3)
อุปนิสัยทางลักษณะอารมณ์ ( Temperament Traits ) ได้แก่ อุปนิสัย
ที่เป็นตัวกำหนดความสามารถของบุคคลให้ทำงานไปสู่จุดมุ่งหมาย
อุปนิสัยทางอารมณ์ ( Temperament Traits ) ได้แก่
อุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทาง ด้านโครงสร้างเป็นความเร็วของพลัง เป็นต้น
ในการแสดงออกของพฤติกรรมใดๆ ก็ตาม
อาจเกิดจากอุปนิสัยทั้ง 3 แบบร่วมกัน แต่ทั้งนี้อุปนิสัย แรงขับจะมีความสำคัญมากกว่าอุปนิสัยเกี่ยวกับความสามารถ
และอุปนิสัยทางอารมณ์
เพราะอุปนิสัยแรงขับสามารถยืดหยุ่นและอาจเป็นตัวเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนใหญ่ได้
2. หน่วยพลัง ( Ergs )
เป็นอุปนิสัยต้นตอหรือแรงขับดันที่มีมาแต่กำเนิดทั้งในกายและในจิตใจ
ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนอง
ทั้งโดยจงใจหรือเอาใจใส่ต่อวัตถุใดวัตถุหนึ่งมากกว่าวัตถุประเภทอื่น
และแสดงประสบการณ์เฉพาะของอารมณ์ต่อวัตถุประเภทนั้น ๆ
เป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของกิจกรรมนั้น
ๆ ของตนมากกว่ากิจกรรมประเภทอื่นๆ แคทเทลล์ ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า หน่วยพลัง
มีหน้าที่ 4 อย่าง คือ การตอบสนองการรับรู้ ( Perceptual
Response ) การตอบสนองทางอารมณ์ (Emotional Response) การกระทำที่นำไปสู่จุดมุ่งหมาย ( Instrumental Acts Leading to
the Goal ) และจุดมุ่งหมายที่ทำให้ได้รับความพอใจ ( The Goal
Satisfaction Itself ) ถ้ารวมหน่วยพลัง 4 หมวดเข้าด้วยกัน
คำนิยามจะประกอบไปด้วย การคิด ( Cognition ) ความรู้สึก(Affection
) และความมุ่งมั่น (Conation) ซึ่งเหมือนกับคำว่าสัญชาตญาณ
( Instinct ) ตามทฤษฎีของแมคดูกัล ( McDougall’s
Theory ) และแคทเทลล์
ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของหน่วยพลังกับกระบวนการทางชีววิทยาของมนุษย์พร้อมทั้งเสนอว่า
หน่วยพลังที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิดมี 10 หน่วยพลัง คือ พลังเพศ ( Sex ) การยืนยันสิทธิของตน (
Self Assertion ) การหนี ความกลัว ความวิตกกังวล ( Escape, Fear, Anxiety ) การป้องกัน
พฤติกรรมการปกป้องของพ่อแม่ ( Protection Parental Behavior ) การเข้าร่วมกลุ่ม ( Gregariousness ) ความต้องการผักผ่อน
( Rest – Seeking ) การสำรวจ (Exploration) การหลงรักตนเอง (
Narcistic Sex ) การขอร้อง ( Appeal ) การก่อสร้าง ( Construction )
3.
เมตะเอิร์ก (Metaergs)
เป็นอุปนิสัยต้นตอที่เกี่ยวกับแรงขับ
ซึ่งได้รับการขัดเกลาจากสิ่งแวดล้อมและปรากฏในพัฒนาการ เมตะเอิร์กต่างจากหน่วยพลังคือหน่วยพลังมีมาแต่กำเนิดแต่เมตะเอิร์กเกิดขึ้นภายหลังและพัฒนามาจากแรงจูงใจ
ได้แก่ เจตคติ(Attitude) ความสนใจ ( Interest ) และ ความอ่อนไหวทางอารมณ์ (
Sentiment ) ความอ่อนไหวทางอารมณ์มีความสำคัญที่สุด
ในเมตะเอิร์ก ความอ่อนไหวทางอารมณ์ก็คือ
โครงสร้างของอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับซึ่งเกิดจากสิ่งแวดล้อม
ทำให้บุคคลมีความเอาใจใส่ต่อวัตถุบางอย่าง
ตลอดจนรู้สึกและสามารถตอบสนองได้ในสถานการณ์เฉพาะความอ่อนไหวทางอารมณ์จะมีความมั่นคงและถาวรกว่าเจตคติและความสนใจ
เพราะความอ่อนไหวทางอารมณ์ปรากฏอยู่ในช่วงพัฒนาการตอนต้นมากกว่าวัยอื่นๆ เจตคติ
ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณ์จะไม่แยกออกจากกัน
และมีการทำงานเกื้อกูลกันสำหรับความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่สำคัญ ได้แก่
ความสนใจในอาชีพ ความสนใจในกีฬาและเกมต่าง ๆ ความสนใจ เพราะความอ่อนไหวทางอารมณ์ปรากฏอยู่ในช่วงพัฒนาการตอนต้นมากกว่าวัยอื่นๆ
เจตคติ
ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณ์จะไม่แยกออกจากกันและมีการทำงานเกื้อกูลกัน
สำหรับความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่สำคัญ ได้แก่ ความสนใจในอาชีพ
ความสนใจในกีฬาและเกมต่างๆ ความสนใจในเรื่องศาสนา ความสนใจทางด้านเครื่องจักรกล
ความรักชาติ โครงสร้างของหน่วยพลังย่อยและอารมณ์ความรู้สึกต่อตนเอง
4. สังกัปอุดหนุน ( Subsidiation )
ถ้าเราศึกษาอุปนิสัยที่สัมพันธ์กับจำนวนหนึ่ง
เราจะพบว่ามีเป้าหมายสุดท้ายซึ่งบุคคลสามารถจะไปได้โดยการผ่านเป้าหมายย่อยๆ
ไปเป็นลำดับ หรืออาจเรียกว่าเป้าหมายย่อยเหล่านั้นเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้าย
อุปนิสัยที่ทำให้บุคคลบรรลุเป้าหมายแรก ได้แก่
อุปนิสัยทั้งหลายที่จะมาอุดหนุนอุปนิสัยที่ทำให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายหรือใกล้เคียงกับเป้าหมายสุดท้าย
การแบ่งระหว่างหน่วยพลัง ความอ่อนไหวทางอารมณ์ เจตคติ และความสนใจนั้นถ้า จะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือลูกโซ่ของการอุดหนุน
( Subsidiation
Chain )ทั้งหมดเป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับ
โดยความสนใจเป็นสิ่งที่อุดหนุนเจตคติ ( Subsidiary to Attitude ) รวมทั้งเป็นสิ่งอุดหนุนความอ่อนไหวทางอารมณ์ ซึ่งก็เป็นสิ่ง ที่อุดหนุนหน่วยพลัง ( Subsidiary to
Eggs ) ด้วย
และตามปกติแล้วปฏิกิริยาซึ่งกันและกันระหว่างอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับมีความซับซ้อนมากการตรวจสอบการกระทำใดๆ
จะแสดงให้เห็นเป็นลูกโซ่ของการอุดหนุนที่เชื่อมโยงหน่วยพลังแต่ ละอย่าง
และความอ่อนไหวทางอารมณ์และเจตคติไว้
5. ตัวตน ( The Self )
เป็นส่วนหนึ่งของความอ่อนไหวทางอารมณ์
ตัวตนเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเจตคติเกือบทั้งหมด จะสะท้อนให้เห็นตัวตนนั่นเอง
ตัวตนจะเกี่ยวข้องกับการแสดงออกของหน่วยพลังหรือความอ่อนไหวทางอารมณ์อื่นๆ
ตัวตนมีบทบาทในการบูรณาการบุคลิกภาพและตัวตนนี้ยังเกี่ยวข้องกับหน่วยพลังที่เกี่ยวกับคุณธรรม ( Superego ) และตัวตนตามอุดมคติ ( Ideal Self ) ซึ่งทั้งสองนี้ได้มาจากอิทธิพลทางสังคม
นอกจากนี้ตัวตนยังมีอิทธิพลควบคุมอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับให้ปฏิบัติงานร่วมกัน
เรียกว่า ตัวตนทางโครงสร้าง ( Structural Self) หรือตัวตนที่เกิดจากแรงขับ
( Drive Self ) หรือเกิดความอ่อนไหวทางอารมณ์ของหน่วยพลัง ( Ego
Sentiment ) การทำงานของอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับอันใดก็ตาม จะแสดงตัวออกมานั้นจะต้องขึ้นอยู่กับว่าอุปนิสัยนั้นเหมาะสมกับตัวบุคคลหรือไม่
ถ้าอุปนิสัยนั้นๆ ไม่สามารถเข้ากับตัวตนได้ก็จะทำให้เกิดลักษณะอาการโรคจิต
โรคประสาทในบุคคลได้
บุคลิกภาพ
16 PF
แคทเทลล์
ได้สร้างแบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 PF (The Sixteen Personnality
Factory Inventory)เขาได้ใช้วิธีการทางสถิติที่เรียกว่า
การวิเคราะห์องค์ประกอบ(Factor Analysis) มาช่วยในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคำต่างๆประมาณ
4,000 คำ (Dewey,2007)
และสร้างเป็นมิติพื้นฐานของบุคลิกภาพ (Personality Profile) ได้ 16 กลุ่ม ลักษณะพื้นฐานของบุคลิกภาพทั้ง 16 กลุ่ม นี้ แคทเทลล์ เรียกว่า
ลักษณะนิสัยที่ซ่อนอยู่ภายใน (Source Traits) ลักษณะนี้จะมีความมั่นคงในตัวมนุษย์ตลอดชีวิต
เป็นองค์ประกอบโครงสร้างบุคลิกภาพทั้งหมด ลักษณะนิสัยที่ซ่อน อยู่ภายในนี้มี 2 ขั้ว
คือ ขั้วบวกและขั้วลบ ได้แก่
·
องค์ประกอบที่ 1 สำรวม (Reserved) – ชอบออกสังคม (Outgoing)
ผู้ที่มีลักษณะสำรวมมักเป็นคนเฉนเมย
เย็นชา ใจแข็ง มีนิยมการประนีประนอม
ชอบปรีกตัวหรือชอบอยู่คนเดียวและชอบใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองอย่างพินิจพิเคราะห์
ส่วนผู้ที่ชอบแสดงออกสังคมมักมีความเมตตา กรุณา มีความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองกับผู้อื่น
มีน้ำใจดี ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล มีความสามารถในการปรับตัวสูง
·
องค์ประกอบที่ 2 คิดเชิงรูปธรรม (Concrete Thinking) – อารมณ์มั่นคง
(Emotional Stable)
ผู้ที่มีความคิดเชิงรูปธรรมมักเป็นคนที่ไม่เฉลียวฉลาดนัก
มักจะคิดและวิเคราะห์เฉพาะสิ่งที่สามารถรับรู้โดยประสาทสัมผัสทั้งห้ามากกว่าการใช้จินตนาการในสิงที่เป็นนามธรรม
ทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆได้ช้า ขาดความมั่นคงในตนเองและขาดความจริงจังในชีวิต
ส่วนผู้ที่คิดเชิงนามประธรรมเป็นคนเฉลียวฉลาด มักใช้สติปัญญาในการคิดวิเคราะห์ ในสิ่งที่ซับซ้อน
มีความเพียรในการศึกษาหาความรู้ และเป็นผู้มีความมั่นคงและยอมรับวัฒนธรรม
· องค์ประกอบที่
3 ความรู้สึกอ่อนไหวง่าย (Affected by Feeling) – อารมณ์มั่นคง
(Emotionai Stabie)
ผู้ที่มีความรู้สึกอ่อนไหวง่ายมักไม่มีความอดทนต่อสถานการณ์ยุ่งยาก
เจตคติและอารมณ์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีอาการเหนื่อยหน่ายทางประสาท
ควบคุมอารมณ์ได้ต่ำ หงุดหงิด โกรธง่าย
และมีความวิตกกังวลเสมอ
ส่วนผู้ที่มีอารมณ์มั่นคงมักมองชีวิตตามความเป็นจริงและเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ยอมรับและแสดงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ไม่มีอาการเหนื่อยหน่ายทางประสาท จิตใจสงบ
·
องค์ประกอบที่ 4 กล้าแสดงออก (Assertive) – ถ่อมตน (Humble)
ผู้ที่กล้าแสดงออกเป็นบุคคลที่มีความมั่นใจในตนเอง
เป็นอิสระแก่ตน เรียกร้องสิทธิถือตนเองเป็นใหญ่ มีความก้าวร้าว
ชอบมีอิธิพลเหนือผู้อื่น ส่วนผู้ที่มีลักษณะถ่อมตน มักจะยอมผู้อื่น ใจดี
มีลักษณะความเป็นมิตรและพร้อม ที่จะประพฤติตามแบบแผน
·
องค์ประกอบที่ 5 สุขุม (Sober) – ทำตนเองตามสบาย (Happy-go-lucky)
ผู้ที่สุขุมเป็นบุคคลที่มีลักษณะถี่ถ้วนระมัดระวัง
ไตร่ตรอง จริงจัง ครุ่นคิด ไม่ชอบติดต่อกับผู้อื่น และไม่ช่างคุย ส่วนผู้ที่มีลักษณะทำตนตามสบายมีลักษณะคล่องแคล่วว่องไว
ช่างคุย ร่าเริง แจ่มใส เปิดเผย และกระตือรือร้น
·
องค์ประกอบที่ 6 ไม่ตามกฎ (Expedient) - ซื่อตรงต่อหน้าที่ (Conscientious)
ผู้ที่ไม่ทำตามกฎเป็นบุคคลที่มีลักษณะไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน
ไม่ตั้งใจเรียน ขาดเรียน
ขาดความพยายาม ขาดความอดทน เอาแต่ได้
ละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ส่วนผู้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่มักมีความยุติธรรม
มีมโนสำนึกสูง มีธรรมประจำใจ
มีความรับผิดชอบ ตั้งใจแน่วแน่และพากเพียรในการทำสิ่งต่างๆตามที่ได้รับมอบหมาย
·
องค์ประกอบที่ 7 ขี้อาย ( shy ) - กล้าเผชิญ ( venturesome )
ผู้ที่ขี้อายเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกด้อย
มีความขลาดกลัวในการพูดและแสดงออก ไม่ชอบติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ความสนใจแคบ
และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ขาดความมั่นใจ
ส่วนผู้ที่กล้าเผชิญมักมีลักษณะกล้าหาญ กล้าเสี่ยง
ชอบเข้าสังคม ร่าเริงชอบผจญภัย ชอบทดลองของใหม่ และชอบสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
· องค์ประกอบที่
8 จิตใจ ( tough – minded ) – จิตใจอ่อนไหว ( tender - minded )
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งเป็นบุคคลที่จริงจังต่อชีวิต
มีความรับผิดชอบ มีความเชื่อมั่นในตนเองและมีความมั่นคงหนักแน่นในการแสดงพฤติกรรมและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ
ส่วนผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวมักต้องการความช่วยเหลือและความเห็นใจจากผู้อื่น
ชอบพึ่งพาผู้อื่น เอาใจยาก ขี้น้อยใจและมีความวิตกกังวลง่าย
·
องค์ประกอบที่ 9 น่าไว้วางใจ ( trusing ) – น่าสงสัย ( suspicious
)
ผู้ที่น่าไว้วางใจเป็นคนร่าเริง
ไม่ชอบการแข่งขัน ไว้วางใจบุคคลอื่น จึงสามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นได้ดี และเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม
ส่วนผู้ที่มีลักษณะน่าสงสัยมักยึดถือแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่
สนใจและเชื่อมั่นแต่ตนเอง ระแวดระวัง ไม่ไว้วางใจสังคมและบุคคลรอบด้าน
·
องค์ประกอบที่ 10 นักปฏิบัติ ทำตามความจริง ( practical ) – นักเพ้อฝัน
( imaginative )
ผู้ที่เป็นนักปฏิบัติเป็นบุคคลที่มีลักษณะลงมือปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง
เจ้าระเบียบ มีความกระตือรือร้นมีความตั้งใจจริง สนใจในสิ่งเป็นไปได้และสามารถปฏิบัติงานได้จริง
ส่วนผู้ที่เป็นนักเพ้อฝันมักเป็นคนที่ช่างคิดช่างฝันมีจินตนาการ สูงและมีแรงจูงใจในตนเอง
ชอบสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ บางคนชอบคิดแต่ไม่ทำไม่สนใจสิ่งที่จะปฏิบัติตามกฎ
·
องค์ประกอบที่ 11 ตรงไปตรงมา ( fortright ) – มีเหลี่ยม ( shrewd
)
ผู้ที่ตรงไปตรงมามักเป็นคนที่มีลักษณะซื่อ
เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อนไม่มีเหลี่ยม ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีรสนิยมง่ายๆ ขาดทักษะการเข้าใจตนเอง
ส่วนผู้ที่มีเหลี่ยมมักเป็นคนฉลาดแหลมคม หรือฉลาดแบบมีเล่ห์เหลี่ยม ช่างวิเคราะห์ มีความทะเยอะทะยาน
·
องค์ประกอบที่ 12 มั่นคงในตนเอง ( self assured ) - หวาดกลัว ( apprehensive
)
ผู้ที่มีความมั่นคงในตนเองเป็นบุคคลที่มีประสาทมั่นคง
มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีความเชื่อมั่นในตนเองและเชื่อในประสิทธิภาพแห่งตนสูง
ส่วนผู้ที่หวาดกลัวมักมีความวิตกกังวลสูง ตกใจง่าย อารมณ์หวั่นไหวง่าย
มักมีอารมณ์เศร้าหมอง หงอยเหงาและขาดความรู้สึกปลอดภัย
·
องค์ประกอบที่ 13 นักอนุรักษ์ ( conservative ) - นักทดลอง ( experimention
)
ผู้ที่เป็นนักอนุรักษ์มักเป็นบุคคลที่มีแนวคิดยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่
ไม่ชอบการวิเคราะห์ หัวเก่า เชื่อมั่นในสิ่งที่ได้รับการปลูกฝังและอบรมสั่งสอน
ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ส่วนผู้ที่เป็นนักทดลองมักชอบพิสูจน์ทดลอง
ชอบใช้สติปัญญาในการคิดค้นและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ
ไม่เชื่อคนง่ายและชอบการเปลี่ยนแปลง
·
องค์ประกอบที่ 14 พึ่งกลุ่ม ( group – dependency ) - พึ่งตนเอง ( self
– sufficient )
ผู้ที่พึ่งกลุ่มมักเป็นบุคคลที่ขาดความมั่นใจ
ไม่เป็นตัวของตัวเอง เป็นบุคคลที่ชอบทำงานหรือตัดสินใจร่วมกับผู้อื่น เป็นผู้ร่วมงานและผู้ตามที่ดี
ต้องการการสนับสนุนจากหมู่คณะ ส่วนผู้ที่พึ่งตนเองมักเคยชินกับการทำงานตามวิธีการ ของตน เน้นความคิดและความพึงพอใจของตนเป็นหลัก
ไม่สนใจความคิดเห็นของสังคม
·
องค์ประกอบที่ 15 หุนหันพลันแล่น ( undisciplined ) - ควบคุมบังคับ (
controlled )
ผู้ที่หุนหันพลันแล่นมักเป็นคนที่ขาดวินัยในตนเอง
เป็นบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมแรงจูงใจหรืออารมณ์ของตนเองได้ มักมีความขัดแย้งในตัวเอง
ปรับตัวยาก ส่วนผู้ที่ควบคุมบังคับ สามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองได้ดี
มีวินัยในตนเอง มีความตั้งใจจริงในการทำสิ่งต่างๆ สนใจสังคมและปรับตัวง่าย
·
องค์ประกอบที่ 16 ผ่อนคลาย ( relaxed ) - เคร่งเครียด ( tense
)
ผู้ที่ผ่อนคลายมันเป็นบุคคลที่ไม่เคร่งเครียด
อารมณ์เย็น รักสงบ แสดงพฤติกรรมแบบสบายๆ
มีความคับข้องใจน้อยและมักพอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ส่วนผู้ที่เคร่งเครียด มักมีความเครียด
ตื่นเต้น ตกใจง่ายและหงุดหงิดง่าย มีความคับข้องใจและขัดแย้งสูง
ข้อดีของแบบทดสอบ 16 PF
แบบทดสอบบุคลิกภาพแบบ 16 PF เป็นแบบทดสอบที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและมีการนำไปใช้ในหลายวงการ
เช่น วงการจิตเวช วงการศึกษา และวงการธุรกิจ เป็นต้นเนื่องจากแบบทดสอบนี้มีจุดเด่น
3 ประการ คือ
1.
เป็นแบบทดสอบที่สามารถวัดองค์ประกอบบุคลิกภาพของบุคคลได้ถึง 16 ด้าน ( primary
factor )และ 8 ประเภทของบุคลิกภาพ ( second –order factor )
2.
มีการให้คะแนนอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์ในการแปลความหมาย
3.
สามารถทำการทดสอบได้ทั้งรายบุคคลและแบบกลุ่มและ
สามารถตรวจให้คะแนนและแปลความหมายด้วยมีหรือ ตรวจด้วยคอมพิวเตอร์ได้
เกณฑ์ปกติ ( Norms )
แคทเทลได้สร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบบุคลิกภาพ 16
PF เพื่อให้ทราบว่าผู้รับการทดสอบแต่ละคนมีคะแนนอยู่ในตำแหน่งใดเมื่อเทียบกับกลุ่มโดยคำนึงถึงสถานภาพทางสังคม
ภูมิภาค อายุ เขตชนบทและเขตเมืองของกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นประชากรชาวอเมริกันโดยมีรายละเอียดดังนี้
1.การสร้างเกณฑ์ปกติแยกตามฟอร์ม A
,B ,C, D และ E
2.การสร้างเกณฑ์ปกติโดยรวมฟอร์มต่างๆซึ่งไม่ใช่การหาค่าเฉลี่ยของแต่ละฟอร์มได้แก่ฟอร์ม
(
A+B ) และ ( C+D )
3.การสร้างตารางปกติจำแนกตามเพศ
โดยเป็นตารางปกติสำหรับเพศชาย ตารางเกณฑ์ปกติสำหรับเพศหญิง
และตารางเกณฑ์ปกติที่ไม่ได้จำแนกเพศ
4.การสร้างตารางเกณฑ์ปกติจำแนกตามอายุ ได้แก่
4.1 กลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีอายุมาตรฐาน ( standard age
) ระหว่าง 17 – 19 ปี
4.2 กลุ่มนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย มีอายุมาตรฐาน ( standard age ) ระหว่าง 20 –29ปี
4.3 กลุ่มประชากรทั่วไป
มีอายุมาตรฐาน ( standard age ) ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
แคทเทลยังได้จัดกลุ่มองค์ประกอบบุคลิกภาพที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันเรียกว่า
second-order
factors หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า global factors ซึ่งช่วยให้ทราบว่าบุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงออกหรือมีบุคลิกภาพโดยรวมเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือสิ่งเร้าที่มากระตุ้นประกอบด้วย
· Extraversion
: การแสดงตัวและกล้าแสดงออกในสังคมประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ
A,F,H สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ Q2 ต่ำ
· Anxiety
: ความวิตกกังวลประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ L,O และ Q4 สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ C,H,Q3 ต่ำ
· Tough
poise : จิตใจเข้มแข็งและหนักแน่นประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ F สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ A,I,M ต่ำ
· Independence
: การเป็นตัวของตัวเองประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ E,H,Q1และQ2สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ G ต่ำ
· Control
: การควบคุมตนเองประกอบด้วยคะแนนองค์ประกอบบุคลิกภาพ Gและ Q3 สูง
· Adjustment
: การปรับตัวประกอบด้วยคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ B,C,E,F,G และ Q1 สูงและคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ H,I,O และ Q4 ต่ำ
· Leadership
: ความเป็นผู้นำประกอบด้วยคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ B
C,E,F,G ,H,NและQ3 สูง
และคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ I,M,O และ Q4 ต่ำ
· Creativity
: ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ B,E,H,I,M,Q1และ Q2 สูง
และคะแนนขององค์ประกอบบุคลิกภาพ A,F และ N ต่ำ
แคทเทลยังได้สร้างมาตรฐานสำหรับวัดอคติในการตอบแบบทดสอบนี้อีกด้วยได้แก่ faking
good scale , faking bad scale และ random
answering scale faking good scale หรือ motivational distortion
scale คือการตอบเพื่อที่จะให้ตนเองมีบุคลิกภาพที่พึงประสงมากกว่าความเป็นจริงเป็นการแสร้งตอบเพื่อให้ตนเองดูดีกว่าความเป็นจริงจากจำนวนข้อทดสอบทั้งหมด
187 ข้อมีข้อที่วัด faking good scale จำนวน 14
ข้อแต่ละข้อมีค่าคะแนนเท่ากับ 1 faking bad scale คือการตอบเพื่อให้ตนเองมีบุคลิกภาพไม่เป็นที่ประสงค์กว่าความเป็นจริงซึ่งเป็นการแสร้งตอบเพื่อให้ตนเองไม่ดีจากจำนวนข้อทดสอบทั้งหมด
187 ข้อมีข้อที่วัด faking bad scale จำนวน 15ข้อ แต่ละข้อมีค่าคะแนนเท่ากับ 1 random answering scale คือการตอบเดาสุ่มผู้รับการทดสอบที่ตอบเดาสุ่มมักตอบแบบ infrequent มากกว่าคนที่ตอบอย่างซื่อสัตย์จากจำนวนข้อทดสอบทั้งหมด 187
ข้อมีข้อที่วัดการตอบเดาสุ่มจำนวน31ข้อการนับคะแนนจะนับจากข้อที่ตอบและไม่ตอบถ้าได้คะแนนดิบตั้งแต่ 5 ข้อขึ้นไปเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้รับการทดสอบอาจจะตอบแบบเดาสุ่มและถ้านับคะแนนดิบได้ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปถือว่าผู้รับการทดสอบตอบอย่างเดาสุ่มแน่นอนและต้องคำนึงถึงด้วยว่าผู้ทดสอบเข้าใจคำแนะนำในการตอบแบบทดสอบหรือไม่อย่างไร
การให้คะแนนแบบทดสอบบุคลิกภาพแบบ 16 PF
การให้คะแนนโดยตรวจเครื่องหมายกากบาทในแต่ละข้อและให้คะแนนโดยใช้คำเฉลยจากคู่มือ
แบบทดสอบซึ่งแต่ละข้อมีคำตอบ 3 คำตอบคือ ใช่ ไม่แน่ใจ ไม่ใช่ โดยให้ผู้ตอบเลือกคำตอบที่ตรงกับความคิดของตัวเองและความรู้สึกของตัวเองให้มากที่สุดเพียงคำตอบเดียวแต่ละข้อมีคะแนนได้ตั้งแต่ 0
, 1 , 2 หรือ 2 , 1, 0 ของแต่ละองค์ประกอบของบุคลิกภาพทั้ง 16 ด้านยกเว้นองค์ประกอบ B ซึ่งมีคะแนนเท่ากับ 0
,1 หรือ 1, 0 นอกจากนี้ยังมี faking
good scale , faking bad scale และ random
answering scale โดยแต่ละข้อมีคะแนน 0
,1 โดยคำตอบที่ถูกจะต้องได้คะแนนเท่ากับ 1 คำตอบที่ผิดจะได้คะแนนเท่ากับ 0
หลักเกณฑ์ในการแปลผล
การแปลผลจะต้องพิจารณาจากคะแนนสูงหรือต่ำประกอบกับความหมายขององค์ประกอบบุคลิกภาพคือ
1. พิจารณาคะแนนมาตรฐาน ( sten, score ) ซึ่งได้มาจากการแปลงคะแนนดิบ(raw
score)โดยเทียบคะแนนตามตารางปกติก็จะทำให้ทราบว่าผู้รับการทดสอบได้คะแนนสูงต่ำดังนี้
· ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน 1,10 หมายถึง มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆสูงหรือต่ำอย่างเต็มที่
ตัวอย่างเช่น
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่า 1 มีลักษณะชอบแยกตัว ปรับตัวยาก
-
ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่า 10 มีลักษณะชอบสังคม ปรับตัวง่าย
· ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน 2,3,8,9 หมายถึง มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆค่อนข้างไปทางสูงหรือต่ำเป็นอย่างมากตัวอย่างเช่น
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่า 2,3 มีลักษณะค่อนข้างแยกตัวและปรับตัวยาก
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่า 8,9 มีลักษณะค่อนข้างชอบสังคมและ
ปรับตัวง่าย
· ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน 4,7 หมายถึง
มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆมีแนวโน้มสูงหรือต่ำเพียงเล็กน้อยตัวอย่างเช่น
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่ากับ 4 มีแนวโน้มที่จะชอบแยกตัวและ
ปรับตัวยาก
- ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่ากับ 7 มีแนวโน้มที่จะชอบสังคมและ
ปรับตัวง่าย
· ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐาน 5,6 หมายถึง มีลักษณะบุคลิกภาพในองค์ประกอบนั้นๆปานกลางเหมือนคนส่วนใหญ่ (
average) ตัวอย่างเช่น
-
ผู้ที่ได้คะแนนมาตรฐานในองค์ประกอบบุคลิกภาพ A เท่ากับ 5 หรือ 6 มีลักษณะกลางๆคือไม่ถึงกับมีแนวโน้มชอบสังคมหรือแยกตัว
2. พิจารณาความหมายของแต่ละองค์ประกอบบุคลิกภาพ (primary
factors) ตามคู่มือการทดสอบ
3.
พิจารณากลุ่มองค์ประกอบของบุคลิกภาพที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันที่เรียกว่า second-order
factors ซึ่งมีทั้งหมด 8 ด้านตามคู่มือการทดสอบมาตรฐาน
ได้แก่ extraversion, anxiety, tough poise, independence, control,
adjustment, leadership และ creativity
ตัวอย่างแบบทดสอบ
16 PF
การวิจัยบุคลิกภาพผู้ต้องขังด้วยแบบทดสอบ
16
PF: กรณีเรือนจำ/ทัณฑสถานในเขตกรุงเทพ/ปริมณฑล
และเรือนจำที่มีนักจิตวิทยาประจำอยู่
นางสาววรดา วสันต์นันทสิริ
นักจิตวิทยา 5
กองบริการทางการแพทย์
กรมราชทัณฑ์์
การศึกษาวิจัยบุคลิกภาพผู้ต้องขังด้วยแบบทดสอบ
The
Sixteen Personality Factor Questionnaire (16 PF) : กรณีศึกษาเรือนจำ/ทัณฑสถานในเขตกรุงเทพฯ / ปริมณฑล
และเรือนจำที่มีนักจิตวิทยาประจำอยู่
เป็นการศึกษาวิจัยทางจิตวิทยาเชิงสำรวจเพื่อเป็นแนวทางให้ทราบถึงลักษณะบุคลิกภาพของผู้ต้องขัง
โดยใช้ผู้ต้องขังกลุ่มตัวอย่าง 416 คน จากเรือนจำ/ทัณฑสถาน 19 แห่ง
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
มีดังนี้
· ตัวแปรอิสระ
ได้แก่ สภาพทั่วไปของผู้ต้องขัง แยกเป็นเพศ อายุ ระดับการศึกษา
จำนวนครั้งที่กระทำผิด คดี ระยะเวลาการอยู่ในเรือนจำ
· ตัวแปรตาม
ได้แก่ บุคลิกภาพ 16 รายการ ตามแบบทดสอบ The Sixteen
Personality Factor Questionnaire (16PF)
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้
แบ่งได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1
แบบสัมภาษณ์คำถามเกี่ยวกับสถานภาพทั่วไปของผู้ต้องขัง มีคำถาม 11 ข้อ ได้แก่
เรื่องภูมิลำเนา ประวัติการศึกษา สถานภาพครอบครัว ประวัติการต้องโทษ
ประวัติการใช้สารเสพติด โรคประจำตัวหรือโรคที่เจ็บป่วยเรื้อรัง
ประวัติการรักษาความเจ็บป่วยทางจิต ประวัติในการทำร้าย ตนเอง รอยสักในร่างกาย
ประวัติครอบครัวในวัยเด็ก
ส่วนที่
2 แบบทดสอบ The Sixteen
Personality Factor Questionnaire (16 PF) ของเรย์มอนด์
บี.แคทเทล (Raymond B.Cattell) เป็นฉบับที่เรียบเรียงเป็นภาษาไทย
และปรับปรุงขึ้นโดยคณะนักจิตวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อ พ.ศ. 2533
และได้รับการยอมรับว่ามีความเที่ยงและความตรง ซึ่งประกอบด้วยข้อคำถาม 187 ข้อ
แต่ละข้อคำถามมีลักษณะเป็นข้อความเชิงบรรยาย และมีคำตอบ 3 คำตอบ คือ ใช่ ไม่แน่ใจ
ไม่ใช่ ใช้เทคนิคบังคับให้เลือกตอบ (Force-Choice Technique) เกณฑ์ในการตรวจให้คะแนน
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้การตรวจด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
สถิติที่ใช้
1. ใช้ค่าสถิติแบบร้อยละในการแจกแจงความถี่ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
2. ใช้ค่าต่ำสุด
ค่าสูงสุด และค่าเฉลี่ยแสดงผลคะแนนของแต่ละองค์ประกอบคุณลักษณะทั้ง 16 รายการ
3. ใช้สถิติ
T
– test แบบ Independent Sample ในการหาความสัมพันธ์ระหว่าง
2 ตัวแปรที่เป็นอิสระต่อกัน
4. ใช้สถิติแบบ
One
- way ANOVA ในการหาความสัมพันธ์ของตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ตรวจนับคะแนนที่ได้จากการตอบแบบทดสอบ
2. แสดงค่าร้อยละข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
3. แสดงผลการตรวจบุคลิกภาพในองค์ประกอบคุณลักษณะแต่ละด้านทั้ง
16 ด้านจากแบบทดสอบ 16 PF วิเคราะห์คะแนนต่ำสุด
คะแนนสูงสุด และคะแนนเฉลี่ย
4. เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยขององค์ประกอบคุณลักษณะบุคลิกภาพ
ในแต่ละองค์ประกอบระหว่างตัวแปรทางด้านเพศ อายุ การศึกษา คดี สถานภาพครอบครัว ฯลฯ
โดยใช้ T
– test และ One - way ANOVA
ผลการศึกษาครั้งนี้
พบว่า ภาพรวมของลักษณะบุคลิกภาพของผู้ต้องขัง มีลักษณะบุคลิกภาพแบบสมยอมและถ่อมตน
เชื่อฟังผู้อื่น ถูกชักจูงและควบคุมง่าย ใจอ่อน ชอบพึ่งพิงผู้อื่น ทำตามผู้อื่น
อ่อนน้อม มีความประนีประนอม ชอบแสดงความรู้สึก ไม่ชอบเข้าหาผู้ใหญ่
มีความเชื่อถือในขนบธรรมเนียมประเพณี และจากสมมุติฐานการศึกษาวิจัยครั้งนี้ พบว่า
มีความแตกต่างขององค์ประกอบบุคลิกภาพระหว่างเพศ , อายุ , การศึกษา , จำนวนครั้งที่กระทำผิด
, คดี และระยะเวลา
การถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5
ทฤษฎีบุคลิกภาพตามปัจจัยห้าประการ ( The Five-Factor
Theory of Personality )
นักวิจัยด้านลักษณะบุคลิกภาพได้นำเสนอ
ห้ามิติพื้นฐานสำหรับอธิบายลักษณะบุคลิกภาพ ( Big Five Dimensions
of Personality ) ซึ่งเป็นลำดับเหตุการณ์ที่มีการนำมาอธิบายอย่างต่อเนื่องกันมามากกว่า
50 ปี เริ่มต้นด้วยงานวิจัยของฟิสเก้ ( D. W. Fiske, 1949 )
และต่อมาก็ได้นำมาขยายความโดยนักวิจัยคนอื่นๆ ได้แก่ นอร์แมน ( Norman, 1967 ) สมิธ ( Smith, 1967 ) โกลด์เบิร์ก ( Goldberg,
1981 ) และแมคแครกับคอสต้า ( McCrae & Costa, 1987 )
ทฤษฎีของทั้งคัตเทลล์และไอย์เซงค์
มีลักษณะเป็นอัตพิสัยของการวิจัย นักทฤษฎีบางคนเชื่อและยืนยันว่า
คัตเทลล์ให้ความสำคัญอย่างมากต่อลักษณะบุคลิกภาพ
ขณะที่ไอย์เซงค์ก็เน้นบ้างแต่ไม่มากเท่า
ทำให้เกิดทฤษฎีลักษณะบุคลิกภาพใหม่ที่หลายคนอ้างถึงภายใต้ชื่อว่า
“ทฤษฎีบุคลิกภาพห้าแบบ” ( Big Five Theory ) ซึ่งแบบจำลองแสดงลักษณะบุคลิกภาพห้าแบบนี้
ได้นำเสนอลักษณะหลัก 5 แบบที่ปฏิสัมพันธ์กับรูปแบบของลักษณะบุคลิกภาพของมนุษย์
ข้างล่างต่อไปนี้เป็นคำบรรยายลักษณะทั้งห้าแบบง่ายๆ
1.
การเข้าสังคม ( Extraversion, Sometimes Called
Surgency ) เป็นลักษณะกว้างๆ ของคนที่ชอบพูดมาก ทรงพลัง และก้าวร้าว
บุคคลที่มีอุปนิสัยแบบนี้มักจะมีอะไรตื่นเต้นตลอดเวลา (Excitability) ชอบเข้าสังคม (Sociability) ชอบพูดและพูดได้ทุกเรื่อง
( Talkativeness ) ชอบเปิดเกมรุก ( Assertiveness ) และชอบแสดงออกทางอารมณ์ ( Emotional Expressiveness )
2.
ความเป็นมิตร/ยอมรับกันและกัน ( Agreeableness ) ลักษณะบุคลิกภาพแบบนี้จะเป็นคนที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจ
(Trust) มีหลักปฏิบัติที่เห็นแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ( Altruism
) มีความกรุณา ( Kindness ) มีความเมตตา ( Affection
) และมีพฤติกรรมชอบสังคม ( Prosocial Behaviors )
3.
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ( Conscientiousness ) ลักษณะพื้นฐานของบุคคลที่จัดอยู่ในมิตินี้
คือ เป็นผู้ที่มีระดับการคิดตรึกตรองสูง ( Thoughtfulness ) เป็นคนที่มีลักษณะเจ้ากี้เจ้าการ
รอบคอบ และเจ้าแผนการ มีการควบคุมสิ่งกระตุ้นดี ( Good Impulse Control ) และมีพฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมายเป็นสำคัญ ( Goal-Directed
Behaviors ) บุคคลที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนี้มักจะถูกจัดการและเตรียมจิตใจในรายละเอียดต่างๆ
มาเป็นอย่างดี
4.
ความเอนเอียงของอารมณ์ ( Neuroticism, Sometimes Reversed and
Called Emotional Stability ) บุคคลที่มีอุปนิสัยแบบนี้จะเป็นผู้มีอารมณ์ไม่มั่นคง ( Emotional
Instability ) มีความกังวลอยู่เสมอ
( Anxiety ) มีอารมณ์ขุ่นหมองเสมอ ( Moodiness
) ฉุนเฉียวง่าย ( Irritability ) และซึมเศร้า
( Sadness )
5.
ความจริงใจตรงไปตรงมา ( Openness to Experience, Sometimes
Called Intellect or Intellect/Imagination ) เป็นลักษณะของคนที่สามารถให้ความสนใจต่อโลกกว้าง
และสามารถมองทะลุ/เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ เป็นคนมีจินตนาการและมองทะลุในสิ่งที่สนใจ (Imagination
and Insight) และมีความสนใจหลายหลาก ( Broad Range of
Interests )
จะเห็นได้ว่า
มิติที่กล่าวมานี้เป็นภาพรวมของลักษณะบุคลิกภาพ
งานวิจัยหลายฉบับได้แสดงให้เห็นถึงการจัดกลุ่มลักษณะของบุคคลที่นำไปสู่การมีลักษณะอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกันตามมา
ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ชอบเข้าสังคมก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนชอบพูดด้วย อย่างไรก็ตาม
อุปนิสัยเหล่านี้มีความซับซ้อนและแปรปรวน และบุคคลแต่ละคนอาจจะแสดงพฤติกรรมต่างๆ
ออกมาผ่านมิติต่างๆ เหล่านี้
การประเมินบุคลิกภาพด้วยวิธีการศึกษาอุปนิสัย
(Assessing the Trait Approach to Personality)
ขณะที่คนส่วนใหญ่ยอมรับว่า
เราสามารถอธิบายเกี่ยวกับประชาชนบนพื้นฐานของลักษณะบุคลิกภาพ
นักทฤษฎีกลับยังคงถกแถลงกันในเรื่องของอุปนิสัยที่จะมีส่วนปรุงแต่งบุคลิกภาพของมนุษย์
แม้ว่าทฤษฎีอุปนิสัยมีความเป็นวัตถุประสงค์ซึ่งทฤษฎีลักษณะบุคลิกภาพบางทฤษฎีไม่มี
( อย่างเช่นทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ) แต่ก็ยังคงมีข้อด้อยอยู่หลายอย่าง
ซึ่งบางสิ่งบางอย่างที่ดูจะเป็นจุดวิกฤติเบื้องต้นของทฤษฎีอุปนิสัย ก็คือ
การมุ่งเน้นอยู่ที่ความจริง ที่บ่อยครั้งอุปนิสัยเป็นตัวทำนายพฤติกรรมที่ไม่ดีนัก
ขณะที่บุคคลแต่ละคนอาจจะให้คะแนนสูงมากในการประเมินอุปนิสัยเฉพาะ เขาหรือเธออาจจะไม่ได้มีความประพฤติไปตามสถานการณ์หลายๆ
อย่างเหล่านั้น ปัญหาอื่นๆ ยังมีให้เห็นอีก คือ
ทฤษฎีอุปนิสัยไม่ได้เข้าไปมีส่วนอธิบายว่า
ความแตกต่างในด้านบุคลิกลักษณะของบุคคลแต่ละคนพัฒนาหรือเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เพราะอะไร
บรรณานุกรม
จิราภรณ์
ตั้งกิตติภาภรณ์ ( 2556 ). จิตวิทยาทั่วไป. ( พิมพ์ครั้งที่
1 ).
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาลักษณ์ กลิ่นอ้ม (
2553 ). ทฤษฏีบุคลิกภาพของฮันส์ เจอร์เกน ไอเซงค์ ( ออนไลน์ ).
สืบค้นจาก : http://mcru-pr1-564188019.blogspot.com/p/blog-page_11.html
รัชนี
เปาะเดง (
2559 ). ทฤษฏีบุคลิกภาพของฮันส์ เจอร์เกน ไอเซงค์ ( ออนไลน์ ).
สืบค้นจาก : http://ratchneepokdeng.blogspot.com
วรดา
วสันต์นันทสิริ ( 2557 ). แบบทดสอบบุคลิกภาพแบบ 16 PF ( ออนไลน์ ).
สืบค้นจาก : http://www.correct.go.th/jit/research.html
Anna tongjeen ( 2552 ). ฮันส์
ไอแซงค์ ( Hans Eysenck ) ( ออนไลน์ ) .
Chulalongkorn ( 2553 ). บุคลิกภาพ
16 PF ( ออนไลน์ ).
สืบค้นจาก : http://www.cumentalhealth.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539909361
Natachoei ( 2551 ). Raymond B. Cattell ( ออนไลน์ ).
Privacy Policy ( 2550 ). ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว ( ออนไลน์
).
สืบค้นจาก : http://www.novabizz.com/NovaAce/Personality/
Somlim
( 2553 ). ทฤษฎีบุคลิกภาพโดยแบ่งตามคุณลักษณะเฉพาะตัว ( ออนไลน์ ).
สืบค้นจาก : http://pathanar.blogspot.com/2010/07/trait-theory-of-personality.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น